ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

ปีใหม่ มาทักทาย
ขอใจกาย มีพลัง
รื่นรมย์ สุขสมหวัง

มั่งมีมิตรและไมตรี

………

พบพานแต่เรื่องดีงาม

สุขภาพกายและใจเข็มแข็งตลอดปี ๒๕๕๘ นะคะ
จากใจ ชาวสถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

แจ้งข่าว คนรักการ์ตูนโปเกม่อนนะคะ | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

จะมีการจัดงาน  Pokémon Together, Let’s Meet Pikachu เนรมิตสยามพารากอนให้เป็นดินแดนโปเกมอนเวิลด์แห่งเขตคาลอส ในงานก็จะมีตัว พิคาชู มาให้เด็กๆ ได้เจอด้วย และก็มีกิจกรรมแจกรางวัลต่างๆ น่าพาเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ที่เป็นแฟนโปเกม่อนไปเที่ยวกัน และชมภาพยนตร์แอนิเมชั่น ฟอร์มยักษ์ อันดับ 1 ตลอดกาล “Pokémon the Movie: Diancie and the Cocoon of Destruction” ตอนล่าสุดส่งตรงจากญี่ปุ่น ฟรี! สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ในช่วงวันเด็กระหว่าง 10 – 11 มกราคม 2558 ณ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ 15 โรงทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล http://pokemon.truelife.com/ 

มีหนังสือมาแจกค่า | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

พอดีเดือนสิงหา มีหนังสือที่เราอยากแบ่งปัน
สามารถกดไลค์ เพจ อ่านสร้างภาพ แล้วทำตามกติตา หนังสือแต่ละเล่มที่แจกได้เลยนะคะ

https://www.facebook.com/actandread

เลือกกดดูที่อัลบั้ม a book to share

ส่งข้อความหนังสือที่อยากได้
เดี๋ยวส่งให้คนที่อยากได้ค่า

PUEY Talks 12×12 | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

 

PUEY Talks 12x12

( 12 บุคคล….12 บทเรียนเรื่องราวแรงบันดาลใจที่ได้รับจากปูชนียบุคคล )

โครงการเตรียมงานรำลึก 100 ปี ชาตกาล ศ. ดร. ป๋วย  อึ๊งภากรณ์ ( 2549 -2559 )

ณ ห้องอเนกประสงค์  ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ ( แยกปทุมวัน )

 

12:00 – 13.00 น.     ลงทะเบียนหน้าห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1

13:00 – 14.30 น.     PUEY Talks  ช่วงที่ 1 ( กำหนดพูดท่านละ 12 นาที )  

·         ครูดุษฏี พนมยงค์   – สวนพลูคอรัส  ( เพลง คนดีมีค่า และ เพลงคนทำทาง )

·         อาจารย์เทพศิริ  สุขโสภา – ศิลปินนักวาด  นักเขียน

·         ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล  – ประธานกรรมการสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์

·         พระศากยวงค์วิสุทธิ์  –  พระอาจารย์นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์

·         นายกษิดิศ  อนันนทนาธร – นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มธ.

·         นายสุทธิชัย เอี่ยมเจริญยิ่ง –  นักธุรกิจ

·         อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ –  นักเดินเท้าเพี่อความรักและศานติ

14:45 – 16:00 น.     PUEY Talks  ช่วงที่  2  ( กำหนดพูดท่านละ 12  นาที )

·         ครูดุษฏี พนมยงค์  –  สวนพลูคอรัส  ( เพลง Imagine   และเพลงลมหายใจแห่งสันติ )

·         ปิยศิลป์ บุลสถาพร –  ผู้กำกับละครเวที “ เพื่อชาติ   เพื่อ humanity “

·         ดร. วีระ  สมบูรณ์  –  นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

·         นส. สฤณี  อาชวานันทกุล – นักวิชาการอิสระด้านการเงิน

·         นายวันฟ้าใหม่  เทพจันทร์ –  กวีหนุ่ม

·         อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ –  เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร

·         อาจารย์สุลักษณ์  ศิวรักษ์ –  ปัญญาชนสยาม

(ดำเนินรายการโดย  อาจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง  –  นักวิชาการสายปรัชญา  ฉายา เชฟหมี )

16:15 – 17:00 น.  ละครเวที  “ รอยย่ำ….. ที่นำเราไป” โดยคณะมะขามป้อม เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจสู่คนรุ่นใหม่ของบุคคลในอุดมคติ 3 ท่าน

ได้แก่ ครูโกมล คีมทอง   ศ. ศิลป์ พีระศรี  และคุณสืบ นาคะเสถียร  โดยนำบางฉากในชีวิตของทั้งสามท่านมาตีความผ่านมุมมองคนรุ่นใหม่

……………………………………………………………………………………………………………..

17:00 – 20:00 น.           งานเปิดตัวหนังสือ ไตรทัศน์วิจารณ์ว่าด้วยพุทธศาสนา สถาบันกษัตริย์

และประชาธิปไตย ของ ส.ศิวรักษ์  เขียนโดย สุรพจน์ ทวีศักดิ์ 

สามัคคีวิจารณ์โดย ศ. ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล พิภพ อุดมอิทธิพงศ์

                                      ดำเนินรายการโดย  ถนอมสิงห์ โกศลนาวิน   (เนื่องในวาระ ๘๑ ปี ปัญญาชนสยาม )

จัดโดย มูลนิธิเสถียรโกเศศ-นาคะประทีป

(เข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย – จำนวน ๒๐๐ ที่นั่ง   ติดต่อคุณพัชรศิริ 086-7636644  )

ภาพวาดวาดโดยจักรกฤษ สุวรรณรัตน์ | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก


สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

๔๖๐ ซ.จรัญสนิทวงศ์ ๖๗ บางพลัด กทม. ๑๐๗๐๐
โทรศัพท์ (Tel) (66) 02-881-1734
โทรสาร (Fax) (66) 02-424-6404, 02-424-6280

การ์ตูนปิศาจเพื่อนเกลอ | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

รูปไม่ขึ้นค่ะ ส่งเป็นลิงค์เพื่อให้ตามไปดูน่าจะสะดวก กว่านะคะ 

อาจจะลองหาที่ฝากรูปใหม่ และลิงค์มาให้ เพื่อจะได้ดูกันได้ค่ะ

ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ

admin : jeejy

ทัศนคติคือ ตัวตัดสินอนาคต… | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

นักศึกษาใหม่ทั้งหลายอาจไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนโชคดีแค่ไหนในโลก ลองดูตัวเลขสักเล็กน้อย ประชากรโลกในปัจจุบันคือ 6,000 ล้านคน ในจำนวนนี้มีเพียงครึ่งเดียวคือ ประมาณ 3,000 ล้านคน เท่านั้นที่มีอาหารกินครบทุกมื้อ มีชีวิตที่มั่นคงและเป็นปกติพอควร สมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ในจำนวน 3,000 ล้านคนนี้ มีไม่ถึงร้อยละ 10 หรือ 300 ล้านคน ที่มีโอกาสเรียนในระดับอุดมศึกษา 

นั่นแสดงว่าจำนวนคน 300 ล้านคน ในประชากรโลก 6,000 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น ที่มีโอกาสอย่างท่านทั้งหลายในขณะนี้ ที่มีความหวัง มีอนาคตสดใส มีงานที่ดีมั่นคง มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีชีวิตที่สุขสบาย มีโอกาสที่จะทำประโยชน์ให้แก่ครอบครัวและคนอื่นๆ ร่วมสังคมของเรารออยู่ข้างหน้า นี่คือความโชคดีมหาศาลที่ท่านอาจไม่ทราบมาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังมีร่างกายสมประกอบ แข็งแรง สุขภาพดี มีหน้าตาสดใส สดสวย และมีมันสมองที่ดีพอจะเรียนในระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย คนจำนวนมากมายในโลกนั้น ขอเพียงมีอาหารครบทุกมื้อไม่ต้องถึงกับได้เรียนมหาวิทยาลัยก็มีความสุขสุดๆแล้ว

ปัญหาก็คือ เมื่อเราเกิดมาโชคดีขนาดนี้ มีความหวังและสิ่งดีๆ รออยู่ข้างหน้าแล้ว เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเราในช่วง 4 ปีข้างหน้า เรื่องนี้น่าขบคิดเป็นอย่างมากเพราะหมายถึงว่าเราจะทำให้สิ่งที่เชื่อว่าดีในอนาคตนั้นดีจริงและดีอย่างเป็นเลิศได้อย่างไร

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน ที่อยู่ในแวดวงอุดมศึกษามากว่า 30 ปี ที่เห็นคนเดินเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่วันแรกและจบออกไปจำนวนมากมาย มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลวจากชีวิต 4 ปีในมหาวิทยาลัย

ขอยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้แตกต่างกันนั้นไม่ใช่ไอคิวหรือพื้นฐานความรู้ดั้งเดิมที่มีมา หากแต่เป็นทัศนคติของเขาเองที่มีต่อการศึกษาระดับอุดมศึกษา เมื่อเริ่มเข้าเรียนซึ่งจะมีผลต่อพฤติกรรมของเขาในมหาวิทยาลัยต่อไป

คนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะเป็นคนที่ตระหนักดีว่า โอกาสในชีวิตของคนๆ หนึ่งที่จะได้เรียน ในมหาวิทยาลัยอย่างเต็มเวลานั้นมีจำกัดยิ่ง

ถ้าหากล้มเหลวไม่จบแล้ว โอกาสที่สองนั้นเกิดขึ้นได้ยากนักหนา เพราะไหนอายุจะมากขึ้น สมองช้าลง ความจำเป็นในการทำงานหาเลี้ยงชีพก็มีมากขึ้น ความรับผิดชอบในชีวิตของคนอื่นที่กิน ทั้งเวลาและเงินทองนั้นก็มีมากขึ้น และการหวนกลับมาเรียนอย่างอิสระเช่นคนวัยนี้นั้นเป็นสิ่งที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้

คนที่ประสบความสำเร็จนั้น จะมองเห็นชัดเจนว่า 4 ปีข้างหน้า คือช่วงเวลาแห่งการไต่บันไดสู่ชีวิต แห่งความกินดีอยู่ดี มีเกียรติ ได้รับการยกย่องจากญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านและสังคม ซึ่งหมายถึงการตั้งใจที่จะบากบั่นศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มกำลัง ขวนขวายหาความรู้ ฝึกฝนพัฒนาบุคคลิกภาพของตนเอง ซึ่งอาจได้มาจากการร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัย เพื่อทำให้บันไดนั้นทอดไปสู่ความมั่งคั่งสมบูรณ์อย่างแท้จริง

คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่มองว่าความรู้เดินมาหาตนเอง ไม่มองว่าความรู้มาจากการงัดปากและป้อนด้วยคณาจารย์ หากมองว่ามาจากความบากบั่น อดทน ขยันหมั่นเพียร ในการแสวงหาความรู้จากอาจารย์ จากการอ่านหนังสือ จากการคิดวิเคราะห์ จากการถกเถียงทางวิชาการ จากการฝึกฝนเล่าเรียนด้วยสื่อการสอนสาระพัดชนิดที่มหาวิทยาลัยจัดหาไว้ให้ด้วยตนเอง

คนเหล่านี้จะมองว่าทางลัดสู่การมีความรู้และการมีชีวิตแห่งความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีนั้นไม่มีทุกอย่างล้วนได้มาด้วยความบากบั่น ต้องเดินตามเส้นทางที่เป็นไปตามขั้นตอนเท่านั้น คนที่ประสบความสำเร็จนั้นตระหนักว่าทุกคนมีความเก่งกันคนละอย่าง โลกมิได้มีแต่ความเก่งในเรื่องการคิดวิเคราะห์ ซึ่งทำให้สอบได้เก่งเท่านั้น ยังมี…

ความเก่งในการมีมนุษย์สัมพันธ์กับคนอื่น

ความเก่งในเรื่องกีฬาและศิลปะ

ความเก่งในเรื่องการพูดโน้มน้าวใจคนอื่น

ความเก่งในเรื่องการจัดสัดส่วนและช่องว่าง อันเป็นฐานสำคัญของการเป็นสถาปนิกหรือช่างศิลปะ

ความเก่งในเรื่องการจัดการอารมณ์ของตนเองและคนอื่น

ความเก่งในเรื่องดนตรี ฯลฯ 

เขาเหล่านี้ตระหนักดีว่าโลกเต็มไปด้วยคนเก่งหลายลักษณะ และกลุ่มคนที่ครองโลกเพราะมีจำนวนมากที่สุดนั้น ก็คือคนที่มีความเก่งในเรื่องเหล่านี้อย่างปานกลาง

หากมีทักษะความรู้และคุณลักษณะประจำตน ในเรื่องศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรมอื่นๆ ประกอบอย่างสำคัญ คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ มองว่าตัวเขาเองเป็นคนมีค่า ชีวิตของเขาสามารถสร้างสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อผู้อื่นเพราะตระหนักว่าใน 100 คนในโลก มีคนที่มีโอกาสและมีสติปัญญาสามารถเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้เพียง 5 คนเท่านั้น ถ้าเขาไม่เอาไหนเลยก็คงจะไม่มีโอกาสได้อยู่ในกลุ่มคนที่ฝรั่งเรียกว่า TOP 5 % ของโลกเป็นแน่ 

มนุษย์เลือกที่เกิดไม่ได้ เลือกที่จะมีหน้าตาสวยหรือหล่อสุดๆ ไม่ได้ เลือกที่จะร่ำรวยมั่งคั่งไม่ได้ และเลือกที่จะได้สิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกการควบคุมของตนเองไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เลือกได้อย่างแน่นอน และอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองก็คือ ทัศนคติในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติต่อการเรียนมหาวิทยาลัย

เชื่อเถอะว่านักศึกษาในวันนี้จะเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีอนาคตแห่งการกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน หรือเป็นบุคคลล้มเหลว เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยและเสียดายโอกาสทองของชีวิตในวันข้างหน้านั้นอยู่ที่ตัวทัศนคติ เมื่อแรกเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละเป็นตัวตัดสิน

โดย อ.วรากรณ์ สามโกเศศ
ที่มา…ศูนย์สนเทศและห้องสมุด ม.ธุรกิจบัณฑิตย์
http://www.dpu.ac.th/laic/page.php?id=6033

http://www.facebook.com/LoveAtFirstRead2?ref=ts&fref=ts

นียายภาพ อ๊าดซน โดย AB | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก


สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

๔๖๐ ซ.จรัญสนิทวงศ์ ๖๗ บางพลัด กทม. ๑๐๗๐๐
โทรศัพท์ (Tel) (66) 02-881-1734
โทรสาร (Fax) (66) 02-424-6404, 02-424-6280

นิยายภาพ “จริงสินะ” โดย YEWI | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก


สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

๔๖๐ ซ.จรัญสนิทวงศ์ ๖๗ บางพลัด กทม. ๑๐๗๐๐
โทรศัพท์ (Tel) (66) 02-881-1734
โทรสาร (Fax) (66) 02-424-6404, 02-424-6280

อิทธิพลของนักแปลต่อวรรณกรรม | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

ม่อเอี๋ยน – นักเขียนจีน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 2012 กล่าวถึงอิทธิพลของนักแปลต่อวรรณกรรมไว้น่าฟังมาก … 

เพราะเราแปลหนังสือและรักงานแปล จึงขอแปลส่วนหนึ่งจากปาฐกถาของม่อเอี๋ยนเกี่ยวกับการแปลมาฝากเพื่อนนักแปลและนักอ่าน … ในวันเบิกปีใหม่นี้เลยค่ะ ^_^

* * * * * *

… ม่อเอี๋ยนปราศรัยในงานก่อตั้ง “สถาบันศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมโลก” แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2001 และพูดถึงนักแปลไว้ดังนี้ .. : ..

นักแปลมีอิทธิพลมหาศาลต่อวรรณกรรม ไร้ซึ่งนักแปล แนวคิดเกี่ยวกับ “วรรณกรรมโลก” ก็เป็นคำที่ว่างเปล่า มีแต่ผ่านการทำงานในลักษณะสร้างสรรค์ของนักแปล ความเป็นสากลของวรรณกรรมจึงเป็นจริงได้ หากไร้ซึ่งการทำงานของนักแปล หนังสือของตอลสตอยก็จะเป็นเพียงหนังสือของชาวรัสเซีย หากไร้ซึ่งการทำงานของนักแปล หนังสือของบัลสักก็จะเป็นเพียงหนังสือของชาวฝรั่งเศส ทำนองเดียวกัน หากไร้ซึ่งการทำงานของนักแปล โฟล์กเนอร์ก็เป็นโฟล์กเนอร์ของประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ มาร์เกซก็เป็นมาร์เกซของประเทศที่ใช้ภาษาสเปนได้เท่านั้น และอีกเช่นกัน หากไร้ซึ่งการทำงานของนักแปล งานวรรณกรรมจีนก็ไม่สามารถสู่สายตาของนักอ่านชาวตะวันตก

ถ้าไม่มีนักแปล การแลกเปลี่ยนทางวรรณกรรมในขอบข่ายทั่วโลกก็ไม่อาจดำรงอยู่ หากไม่มีการแลกเปลี่ยนทางวรรณกรรมในขอบข่ายทั่วโลก วรรณกรรมโลกจะไม่มีทางรุ่มรวยหลากสีสันเช่นที่เป็นอยู่ในวันนี้อย่างแน่นอน หลู่ซิ่นเคยกล่าวไว้ว่า “โลกมีวรรณกรรม หญิงสาวมีสะโพกอวบเต็ม” ไม่มีสะโพกที่อวบเต็ม หญิงสาวย่อมไม่ใช่หญิงสาวที่สมบูรณ์ ไร้วรรณกรรม โลกก็ไม่อาจเป็นโลกที่สมบูรณ์ จากนี้จะเห็นได้ว่า “สถาบันศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมโลก” ของเรานี้เป็นองค์กรที่สำคัญเพียงไร !

ผมเองในฐานะนักเขียนที่เกิดในทศวรรษที่ 80 แห่งศตวรรษก่อน ได้รับรู้ความสำคัญของการศึกษาจากวรรณกรรมต่างประเทศด้วยตัวเอง หากไม่มีนักแปลเก่งๆ แปลวรรณกรรมต่างประเทศจำนวนมากให้เป็นภาษาจีน กลุ่มนักเขียนที่ไม่รู้ภาษาต่างประเทศอย่างพวกเราก็ไม่อาจเข้าใจถึงความสำเร็จอันงดงามที่วรรณกรรมต่างประเทศได้สร้างขึ้น หากไม่มีการทำงานในลักษณะสร้างสรรค์ของนักแปลของเรา วรรณกรรมจีนในปัจจุบันย่อมไม่เป็นเช่นที่เป็นในขณะนี้ แน่นอนที่มีนักเขียนบางคนปฏิเสธที่จะยอมรับอิทธิพลของวรรณกรรมต่างประเทศต่อตนเอง ทำราวกับว่าอย่างนี้แล้วจะแสดงความไม่ธรรมดาของตน ที่จริง นี่เป็นความเสแสร้งที่ไม่จำเป็น การยอมรับว่าได้ศึกษาหยิบยืมจากวรรณกรรมต่างประเทศไม่ได้กระทบต่อความยิ่งใหญ่ของคุณ นักแปลก็ไม่ได้มาแบ่งเงินค่าเขียนของคุณ หลู่ซิ่นทำมาแล้ว กวา ม่อ ยั่วทำมาแล้ว เหมาตุ้น ปาจินก็ทำมาแล้ว (เหล่านี้เป็นนักเขียนจีนร่วมสมัยซึ่งชาวจีนยอมรับในความยิ่งใหญ่) การทำเช่นนี้ไม่กระทบความยิ่งใหญ่ของพวกเขาแม้แต่น้อย ทว่า อาจจะด้วยการทำเช่นนี้เองที่ทำให้พวกเขายิ่งใหญ่ แน่ล่ะ ต้องมีคนย้อนว่า เฉา เสว่ ฉิน ไม่รู้ภาษาต่างประเทศ ก็เขียนงานยิ่งใหญ่เช่น “ความฝันในหอแดง” ได้ไม่ใช่เรอะ? คำตอบของผมคือ เฉา เสว่ ฉินมีพรสวรรค์ คนมีพรสวรรค์ก็ย่อมไม่ต้องหยิบยืมใคร แต่ถ้าจะเถียงให้ได้ ก็ยังพูดได้อยู่ดีว่า ความคิดศาสนาพุทธใน “ความฝันในหอแดง” นั้นก็มาจากวรรณกรรมต่างประเทศ …

ไม่นานมานี้ ผมไปร่วมประชุมเกี่ยวกับการวิจารณ์นิยายเรื่องยาวเรื่องหนึ่ง ในงานนั้น อาจารย์เฉินซือเหอ จากมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ได้ตั้งคำถามว่า งานวรรณกรรมต่างประเทศที่ถูกแปลเป็นภาษาจีนแล้วนั้น ถือว่าเป็นวรรณกรรมต่างประเทศ หรือว่าวรรณกรรมจีน? สำนวนภาษาในนิยายที่ถูกแปลมานี้ ถือเป็นภาษาของผู้เขียนหรือผู้แปล? นักเขียนอย่างเราๆ ที่ไม่รู้ภาษาต่างประเทศ พออ่านงานวรรณกรรมจากลาตินอเมริกาที่แปลเป็นภาษาจีนโดยคุณเจ้าเต๋อหมิง เจ้าเจิ้นเจียง หลินอี้อัน … (ชื่อนักแปลจีน) แล้ว สำนวนที่ใช้ในนิยายของเราเองก็เปลี่ยนไปด้วย สำนวนเราได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมลาตินอเมริกาหรือจากกลุ่มนักแปลเช่นคุณเจ้าเต๋อหมิงเล่า?

อาจารย์เฉินซือเหอเห็นว่า ดูจากแง่มุมทางวรรณกรรมแล้ว วรรณกรรมดีๆ ต่างประเทศที่ถูกแปลเป็นภาษาจีนแล้ว ก็ย่อมต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรมจีนด้วย

ผมเห็นด้วยกับความเห็นนี้ ผมเห็นว่า นักแปลที่ดีคนหนึ่ง นอกจากเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาต่างประเทศแล้ว ยังจะเป็นผู้รู้ในภาษาแม่ด้วย เมื่อผสานทั้งสองเข้าด้วยกัน พวกเขาก็คือครูทางภาษา พวกเขาไม่เพียงใช้การทำงานอันล้ำเลิศทำให้เราได้เข้าใจเรื่องราวที่บอกเล่าโดยนักเขียนต่างประเทศ รู้เทคนิควิธีที่พวกเขาใช้ รู้ความคิดที่แสดงออกผ่านเรื่องราว นักแปลยังได้ช่วยพัฒนาภาษาแม่อันอุดมของเราด้วย การทำงานของพวกเขามีคุณูปการหาที่สุดไม่ได้ หากมองจากความหมายนี้แล้ว “สถาบันศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมโลกแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง” นี้ ก็ไม่เพียงเป็นแค่สถาบันศึกษาค้นคว้า เป็นองค์กรที่แปลวรรณกรรมต่างประเทศเท่านั้น ทว่ายังเป็นอู่แห่งการบ่มเพาะเลี้ยงดูวรรณกรรมจีนด้วย สถาบันศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมโลกนี้ไม่เพียงแต่ศึกษาค้นคว้าและแปลวรรณกรรมต่่างประเทศเท่านั้น หากยังเป็นห้องทดลองทางวรรณกรรมที่จะนำมาซึ่งปัจจัยอันสดใหม่แก่ภาษาจีนด้วย