รูปไม่ขึ้นค่ะ ส่งเป็นลิงค์เพื่อให้ตามไปดูน่าจะสะดวก กว่านะคะ
อาจจะลองหาที่ฝากรูปใหม่ และลิงค์มาให้ เพื่อจะได้ดูกันได้ค่ะ
ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ
admin : jeejy
ดูแลสุขภาพที่ดีของคุณไทย
รูปไม่ขึ้นค่ะ ส่งเป็นลิงค์เพื่อให้ตามไปดูน่าจะสะดวก กว่านะคะ
อาจจะลองหาที่ฝากรูปใหม่ และลิงค์มาให้ เพื่อจะได้ดูกันได้ค่ะ
ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ
admin : jeejy
นักศึกษาใหม่ทั้งหลายอาจไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนโชคดีแค่ไหนในโลก ลองดูตัวเลขสักเล็กน้อย ประชากรโลกในปัจจุบันคือ 6,000 ล้านคน ในจำนวนนี้มีเพียงครึ่งเดียวคือ ประมาณ 3,000 ล้านคน เท่านั้นที่มีอาหารกินครบทุกมื้อ มีชีวิตที่มั่นคงและเป็นปกติพอควร สมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ในจำนวน 3,000 ล้านคนนี้ มีไม่ถึงร้อยละ 10 หรือ 300 ล้านคน ที่มีโอกาสเรียนในระดับอุดมศึกษา
นั่นแสดงว่าจำนวนคน 300 ล้านคน ในประชากรโลก 6,000 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น ที่มีโอกาสอย่างท่านทั้งหลายในขณะนี้ ที่มีความหวัง มีอนาคตสดใส มีงานที่ดีมั่นคง มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีชีวิตที่สุขสบาย มีโอกาสที่จะทำประโยชน์ให้แก่ครอบครัวและคนอื่นๆ ร่วมสังคมของเรารออยู่ข้างหน้า นี่คือความโชคดีมหาศาลที่ท่านอาจไม่ทราบมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังมีร่างกายสมประกอบ แข็งแรง สุขภาพดี มีหน้าตาสดใส สดสวย และมีมันสมองที่ดีพอจะเรียนในระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย คนจำนวนมากมายในโลกนั้น ขอเพียงมีอาหารครบทุกมื้อไม่ต้องถึงกับได้เรียนมหาวิทยาลัยก็มีความสุขสุดๆแล้ว
ปัญหาก็คือ เมื่อเราเกิดมาโชคดีขนาดนี้ มีความหวังและสิ่งดีๆ รออยู่ข้างหน้าแล้ว เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเราในช่วง 4 ปีข้างหน้า เรื่องนี้น่าขบคิดเป็นอย่างมากเพราะหมายถึงว่าเราจะทำให้สิ่งที่เชื่อว่าดีในอนาคตนั้นดีจริงและดีอย่างเป็นเลิศได้อย่างไร
จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน ที่อยู่ในแวดวงอุดมศึกษามากว่า 30 ปี ที่เห็นคนเดินเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่วันแรกและจบออกไปจำนวนมากมาย มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลวจากชีวิต 4 ปีในมหาวิทยาลัย
ขอยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้แตกต่างกันนั้นไม่ใช่ไอคิวหรือพื้นฐานความรู้ดั้งเดิมที่มีมา หากแต่เป็นทัศนคติของเขาเองที่มีต่อการศึกษาระดับอุดมศึกษา เมื่อเริ่มเข้าเรียนซึ่งจะมีผลต่อพฤติกรรมของเขาในมหาวิทยาลัยต่อไป
คนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะเป็นคนที่ตระหนักดีว่า โอกาสในชีวิตของคนๆ หนึ่งที่จะได้เรียน ในมหาวิทยาลัยอย่างเต็มเวลานั้นมีจำกัดยิ่ง
ถ้าหากล้มเหลวไม่จบแล้ว โอกาสที่สองนั้นเกิดขึ้นได้ยากนักหนา เพราะไหนอายุจะมากขึ้น สมองช้าลง ความจำเป็นในการทำงานหาเลี้ยงชีพก็มีมากขึ้น ความรับผิดชอบในชีวิตของคนอื่นที่กิน ทั้งเวลาและเงินทองนั้นก็มีมากขึ้น และการหวนกลับมาเรียนอย่างอิสระเช่นคนวัยนี้นั้นเป็นสิ่งที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้
คนที่ประสบความสำเร็จนั้น จะมองเห็นชัดเจนว่า 4 ปีข้างหน้า คือช่วงเวลาแห่งการไต่บันไดสู่ชีวิต แห่งความกินดีอยู่ดี มีเกียรติ ได้รับการยกย่องจากญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านและสังคม ซึ่งหมายถึงการตั้งใจที่จะบากบั่นศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มกำลัง ขวนขวายหาความรู้ ฝึกฝนพัฒนาบุคคลิกภาพของตนเอง ซึ่งอาจได้มาจากการร่วมกิจกรรมในมหาวิทยาลัย เพื่อทำให้บันไดนั้นทอดไปสู่ความมั่งคั่งสมบูรณ์อย่างแท้จริง
คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่มองว่าความรู้เดินมาหาตนเอง ไม่มองว่าความรู้มาจากการงัดปากและป้อนด้วยคณาจารย์ หากมองว่ามาจากความบากบั่น อดทน ขยันหมั่นเพียร ในการแสวงหาความรู้จากอาจารย์ จากการอ่านหนังสือ จากการคิดวิเคราะห์ จากการถกเถียงทางวิชาการ จากการฝึกฝนเล่าเรียนด้วยสื่อการสอนสาระพัดชนิดที่มหาวิทยาลัยจัดหาไว้ให้ด้วยตนเอง
คนเหล่านี้จะมองว่าทางลัดสู่การมีความรู้และการมีชีวิตแห่งความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีนั้นไม่มีทุกอย่างล้วนได้มาด้วยความบากบั่น ต้องเดินตามเส้นทางที่เป็นไปตามขั้นตอนเท่านั้น คนที่ประสบความสำเร็จนั้นตระหนักว่าทุกคนมีความเก่งกันคนละอย่าง โลกมิได้มีแต่ความเก่งในเรื่องการคิดวิเคราะห์ ซึ่งทำให้สอบได้เก่งเท่านั้น ยังมี…
ความเก่งในการมีมนุษย์สัมพันธ์กับคนอื่น
ความเก่งในเรื่องกีฬาและศิลปะ
ความเก่งในเรื่องการพูดโน้มน้าวใจคนอื่น
ความเก่งในเรื่องการจัดสัดส่วนและช่องว่าง อันเป็นฐานสำคัญของการเป็นสถาปนิกหรือช่างศิลปะ
ความเก่งในเรื่องการจัดการอารมณ์ของตนเองและคนอื่น
ความเก่งในเรื่องดนตรี ฯลฯ
เขาเหล่านี้ตระหนักดีว่าโลกเต็มไปด้วยคนเก่งหลายลักษณะ และกลุ่มคนที่ครองโลกเพราะมีจำนวนมากที่สุดนั้น ก็คือคนที่มีความเก่งในเรื่องเหล่านี้อย่างปานกลาง
หากมีทักษะความรู้และคุณลักษณะประจำตน ในเรื่องศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรมอื่นๆ ประกอบอย่างสำคัญ คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ มองว่าตัวเขาเองเป็นคนมีค่า ชีวิตของเขาสามารถสร้างสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อผู้อื่นเพราะตระหนักว่าใน 100 คนในโลก มีคนที่มีโอกาสและมีสติปัญญาสามารถเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้เพียง 5 คนเท่านั้น ถ้าเขาไม่เอาไหนเลยก็คงจะไม่มีโอกาสได้อยู่ในกลุ่มคนที่ฝรั่งเรียกว่า TOP 5 % ของโลกเป็นแน่
มนุษย์เลือกที่เกิดไม่ได้ เลือกที่จะมีหน้าตาสวยหรือหล่อสุดๆ ไม่ได้ เลือกที่จะร่ำรวยมั่งคั่งไม่ได้ และเลือกที่จะได้สิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกการควบคุมของตนเองไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เลือกได้อย่างแน่นอน และอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองก็คือ ทัศนคติในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติต่อการเรียนมหาวิทยาลัย
เชื่อเถอะว่านักศึกษาในวันนี้จะเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีอนาคตแห่งการกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน หรือเป็นบุคคลล้มเหลว เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยและเสียดายโอกาสทองของชีวิตในวันข้างหน้านั้นอยู่ที่ตัวทัศนคติ เมื่อแรกเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละเป็นตัวตัดสิน
โดย อ.วรากรณ์ สามโกเศศ
ที่มา…ศูนย์สนเทศและห้องสมุด ม.ธุรกิจบัณฑิตย์
http://www.dpu.ac.th/laic/page.php?id=6033
http://www.facebook.com/LoveAtFirstRead2?ref=ts&fref=ts
๔๖๐ ซ.จรัญสนิทวงศ์ ๖๗ บางพลัด กทม. ๑๐๗๐๐
โทรศัพท์ (Tel) (66) 02-881-1734
โทรสาร (Fax) (66) 02-424-6404, 02-424-6280
๔๖๐ ซ.จรัญสนิทวงศ์ ๖๗ บางพลัด กทม. ๑๐๗๐๐
โทรศัพท์ (Tel) (66) 02-881-1734
โทรสาร (Fax) (66) 02-424-6404, 02-424-6280
ม่อเอี๋ยน – นักเขียนจีน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปี 2012 กล่าวถึงอิทธิพลของนักแปลต่อวรรณกรรมไว้น่าฟังมาก …
เพราะเราแปลหนังสือและรักงานแปล จึงขอแปลส่วนหนึ่งจากปาฐกถาของม่อเอี๋ยนเกี่ยวกับการแปลมาฝากเพื่อนนักแปลและนักอ่าน … ในวันเบิกปีใหม่นี้เลยค่ะ ^_^
* * * * * *
… ม่อเอี๋ยนปราศรัยในงานก่อตั้ง “สถาบันศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมโลก” แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2001 และพูดถึงนักแปลไว้ดังนี้ .. : ..
นักแปลมีอิทธิพลมหาศาลต่อวรรณกรรม ไร้ซึ่งนักแปล แนวคิดเกี่ยวกับ “วรรณกรรมโลก” ก็เป็นคำที่ว่างเปล่า มีแต่ผ่านการทำงานในลักษณะสร้างสรรค์ของนักแปล ความเป็นสากลของวรรณกรรมจึงเป็นจริงได้ หากไร้ซึ่งการทำงานของนักแปล หนังสือของตอลสตอยก็จะเป็นเพียงหนังสือของชาวรัสเซีย หากไร้ซึ่งการทำงานของนักแปล หนังสือของบัลสักก็จะเป็นเพียงหนังสือของชาวฝรั่งเศส ทำนองเดียวกัน หากไร้ซึ่งการทำงานของนักแปล โฟล์กเนอร์ก็เป็นโฟล์กเนอร์ของประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ มาร์เกซก็เป็นมาร์เกซของประเทศที่ใช้ภาษาสเปนได้เท่านั้น และอีกเช่นกัน หากไร้ซึ่งการทำงานของนักแปล งานวรรณกรรมจีนก็ไม่สามารถสู่สายตาของนักอ่านชาวตะวันตก
ถ้าไม่มีนักแปล การแลกเปลี่ยนทางวรรณกรรมในขอบข่ายทั่วโลกก็ไม่อาจดำรงอยู่ หากไม่มีการแลกเปลี่ยนทางวรรณกรรมในขอบข่ายทั่วโลก วรรณกรรมโลกจะไม่มีทางรุ่มรวยหลากสีสันเช่นที่เป็นอยู่ในวันนี้อย่างแน่นอน หลู่ซิ่นเคยกล่าวไว้ว่า “โลกมีวรรณกรรม หญิงสาวมีสะโพกอวบเต็ม” ไม่มีสะโพกที่อวบเต็ม หญิงสาวย่อมไม่ใช่หญิงสาวที่สมบูรณ์ ไร้วรรณกรรม โลกก็ไม่อาจเป็นโลกที่สมบูรณ์ จากนี้จะเห็นได้ว่า “สถาบันศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมโลก” ของเรานี้เป็นองค์กรที่สำคัญเพียงไร !
ผมเองในฐานะนักเขียนที่เกิดในทศวรรษที่ 80 แห่งศตวรรษก่อน ได้รับรู้ความสำคัญของการศึกษาจากวรรณกรรมต่างประเทศด้วยตัวเอง หากไม่มีนักแปลเก่งๆ แปลวรรณกรรมต่างประเทศจำนวนมากให้เป็นภาษาจีน กลุ่มนักเขียนที่ไม่รู้ภาษาต่างประเทศอย่างพวกเราก็ไม่อาจเข้าใจถึงความสำเร็จอันงดงามที่วรรณกรรมต่างประเทศได้สร้างขึ้น หากไม่มีการทำงานในลักษณะสร้างสรรค์ของนักแปลของเรา วรรณกรรมจีนในปัจจุบันย่อมไม่เป็นเช่นที่เป็นในขณะนี้ แน่นอนที่มีนักเขียนบางคนปฏิเสธที่จะยอมรับอิทธิพลของวรรณกรรมต่างประเทศต่อตนเอง ทำราวกับว่าอย่างนี้แล้วจะแสดงความไม่ธรรมดาของตน ที่จริง นี่เป็นความเสแสร้งที่ไม่จำเป็น การยอมรับว่าได้ศึกษาหยิบยืมจากวรรณกรรมต่างประเทศไม่ได้กระทบต่อความยิ่งใหญ่ของคุณ นักแปลก็ไม่ได้มาแบ่งเงินค่าเขียนของคุณ หลู่ซิ่นทำมาแล้ว กวา ม่อ ยั่วทำมาแล้ว เหมาตุ้น ปาจินก็ทำมาแล้ว (เหล่านี้เป็นนักเขียนจีนร่วมสมัยซึ่งชาวจีนยอมรับในความยิ่งใหญ่) การทำเช่นนี้ไม่กระทบความยิ่งใหญ่ของพวกเขาแม้แต่น้อย ทว่า อาจจะด้วยการทำเช่นนี้เองที่ทำให้พวกเขายิ่งใหญ่ แน่ล่ะ ต้องมีคนย้อนว่า เฉา เสว่ ฉิน ไม่รู้ภาษาต่างประเทศ ก็เขียนงานยิ่งใหญ่เช่น “ความฝันในหอแดง” ได้ไม่ใช่เรอะ? คำตอบของผมคือ เฉา เสว่ ฉินมีพรสวรรค์ คนมีพรสวรรค์ก็ย่อมไม่ต้องหยิบยืมใคร แต่ถ้าจะเถียงให้ได้ ก็ยังพูดได้อยู่ดีว่า ความคิดศาสนาพุทธใน “ความฝันในหอแดง” นั้นก็มาจากวรรณกรรมต่างประเทศ …
ไม่นานมานี้ ผมไปร่วมประชุมเกี่ยวกับการวิจารณ์นิยายเรื่องยาวเรื่องหนึ่ง ในงานนั้น อาจารย์เฉินซือเหอ จากมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น ได้ตั้งคำถามว่า งานวรรณกรรมต่างประเทศที่ถูกแปลเป็นภาษาจีนแล้วนั้น ถือว่าเป็นวรรณกรรมต่างประเทศ หรือว่าวรรณกรรมจีน? สำนวนภาษาในนิยายที่ถูกแปลมานี้ ถือเป็นภาษาของผู้เขียนหรือผู้แปล? นักเขียนอย่างเราๆ ที่ไม่รู้ภาษาต่างประเทศ พออ่านงานวรรณกรรมจากลาตินอเมริกาที่แปลเป็นภาษาจีนโดยคุณเจ้าเต๋อหมิง เจ้าเจิ้นเจียง หลินอี้อัน … (ชื่อนักแปลจีน) แล้ว สำนวนที่ใช้ในนิยายของเราเองก็เปลี่ยนไปด้วย สำนวนเราได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมลาตินอเมริกาหรือจากกลุ่มนักแปลเช่นคุณเจ้าเต๋อหมิงเล่า?
อาจารย์เฉินซือเหอเห็นว่า ดูจากแง่มุมทางวรรณกรรมแล้ว วรรณกรรมดีๆ ต่างประเทศที่ถูกแปลเป็นภาษาจีนแล้ว ก็ย่อมต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของวรรณกรรมจีนด้วย
ผมเห็นด้วยกับความเห็นนี้ ผมเห็นว่า นักแปลที่ดีคนหนึ่ง นอกจากเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาต่างประเทศแล้ว ยังจะเป็นผู้รู้ในภาษาแม่ด้วย เมื่อผสานทั้งสองเข้าด้วยกัน พวกเขาก็คือครูทางภาษา พวกเขาไม่เพียงใช้การทำงานอันล้ำเลิศทำให้เราได้เข้าใจเรื่องราวที่บอกเล่าโดยนักเขียนต่างประเทศ รู้เทคนิควิธีที่พวกเขาใช้ รู้ความคิดที่แสดงออกผ่านเรื่องราว นักแปลยังได้ช่วยพัฒนาภาษาแม่อันอุดมของเราด้วย การทำงานของพวกเขามีคุณูปการหาที่สุดไม่ได้ หากมองจากความหมายนี้แล้ว “สถาบันศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมโลกแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง” นี้ ก็ไม่เพียงเป็นแค่สถาบันศึกษาค้นคว้า เป็นองค์กรที่แปลวรรณกรรมต่างประเทศเท่านั้น ทว่ายังเป็นอู่แห่งการบ่มเพาะเลี้ยงดูวรรณกรรมจีนด้วย สถาบันศึกษาค้นคว้าวรรณกรรมโลกนี้ไม่เพียงแต่ศึกษาค้นคว้าและแปลวรรณกรรมต่่างประเทศเท่านั้น หากยังเป็นห้องทดลองทางวรรณกรรมที่จะนำมาซึ่งปัจจัยอันสดใหม่แก่ภาษาจีนด้วย
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนักเขียนหรือหนังสือแต่อย่างใด เป็นเรื่องเล็กๆที่น่ารักมากในโลกใบใหญ่ของสถาปนิกเอกชาวอเมริกัน สถาปนิกที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล แฟรงค์ ลอยด์ ไร้ท์ กับเด็กชายอายุ 12 ปี
“สวัสดีครับคุณไร้ท์
ผมเป็นเด็กชายอายุ 12 ปี ชื่อจิม เบอเกอร์ คุณออกแบบบ้านให้พ่อผมที่ชื่อบ็อบ เบอเกอร์ ผมรับจ้างส่งหนังสือพิมพ์ทำให้มีเงินเก็บในธนาคารและเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่ง ผมจะขอบคุณมากเลยถ้าคุณออกแบบบ้านสุนัขให้ผม เอาแบบที่สร้างง่ายๆและเข้ากันกับตัวบ้านของเรา สุนัขผมชื่อเอ็ดเวิร์ด แต่ผมเรียกมันว่าเอ็ดดี้ อายุ 4 ปี แต่ถ้าคิดแบบสุนัขคงจะ 28 ปีแล้วฮะ มันเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์สูงสองฟุตครึ่ง ตัวยาว 3 ฟุต ที่ผมอยากได้บ้านสุนัขก็เพราะจะเข้าหน้าหนาวแล้ว พ่อบอกว่าถ้าคุณออกแบบให้ พ่อจะช่วยผมสร้าง แต่ถ้าคุณออกแบบให้ผม ผมจะจ่ายค่าแบบและค่าวัสดุด้วยเงินรายได้จากการส่งหนังสือพิมพ์ของผมเอง
ขอแสดงความนับถือ
จิม เบอเกอร์”
“จิมที่รัก
ออกแบบบ้านสำหรับเอ็ดดี้เป็นโอกาสที่ดีนะ สักวันผมจะออกแบบสักหลัง แต่ตอนนี้ผมยุ่งมากเกินกว่าจะตั้งอกตั้งใจเขียนแบบได้ เดือนพฤศจิกายนเขียนจดหมายมาใหม่นะ ส่งไปที่ฟีนิกซ์ อริโซน่า ตอนนั้นผมคงพอทำอะไรได้บ้าง
ด้วยความจริงใจ
แฟรงค์ ลอยด์ ไร้ท์”
“สวัสดีครับคุณไรท์
ผมเขียนมาหาคุณครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนเกี่ยวกับบ้านของเอ็ดดี้ที่เข้ากันกับแบบบ้านที่คุณออกแบบให้พ่อผมน่ะครับ คุณบอกให้ผมเขียนมาใหม่เดือนพฤศจิกายน ผมเลยขอคุณใหม่อีกครั้ง ออกแบบบ้านให้สุนัขผมหน่อยได้ไหมครับ
ขอแสดงความนับถือ
จิม เบอเกอร์”
แฟรงค์ ลอยด์ ไร้ท์ ออกแบบบ้านให้เอ็ดดี้จริงๆ (ตามภาพ) พ่อของจิมช่วยเขาสร้างเสร็จในปี 1963 แต่น่าเสียดายที่เอ็ดดี้เกลียดบ้านที่ออกแบบโดยสถาปนิกใหญ่ของโลกมาก (เสียดายที่มันไม่รู้จักเขา…) ปี 1973 เลยต้องรื้อทิ้งไป
ถึงคุณจะเป็นคนสำคัญ คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำงานใหญ่เสมอไป งานเล็กๆ บางงานกลับยิ่งใหญ่ในหัวใจของผู้คนให้เป็นที่จดจำตลอดไป
หมายเหตุ: แฟรงค์ ลอยด์ ไร้ท์ (1867-1959)ได้ชื่อว่าเป็นสถาปนิกเพื่อสิ่งแวดล้อม เขาถือคติพจน์ของธอโรที่ว่า “เราเป็นเพียงผู้พักแรมชั่วคราวในธรรมชาติ”(เฮนรี่ เดวิด ธอโร) งานของเขาใส่ใจในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติจนพัฒนาไปเป็นแนวคิดอินทรียสถาปัตยกรรม ซึ่งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในที่ตั้งเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างอาคาร ไร้ท์เคยเขียนไว้ว่า “ธรรมชาติกับศิลปะถูกสร้างเพื่อเติมเต็มกันและกันให้สมบูรณ์”
…..
ที่มา :
http://www.lettersofnote.com/2012/10/please-design-me-dog-house.html
อินกับทราย นักเขียนการ์ตูนความรู้
cartoonist, character designer, Illustrator.
ผลงานที่เคยได้รับรางวัล
– รางวัล ชมเชยอนิเมชั่น (30 วินาที) งาน TAM 2004 (ระดับบุคคลทั่วไป)
-รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 การ์ตูนช่อง งาน TAM 2004 (ระดับนักเรียนนักศึกษา)
-รางวัลชมเชยหนังสือทำมือ เรื่อง หนังสือการ์ตูน MBK Indy book Awards ครั้งที่ 2
-รางวัลรองชนะเลิศ อันดับสอง การ์ตูนความรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ผจญภัยในทะเลดึกดำบรรพ์
นานมีบุ๊คส์อะวอร์ดครั้งที่ 2
-รางวัลรองชนะเลิศ อันดับสอง หนังสือภาพเสริมความรู้ เรื่อง มืดตึ๊ดตื๋อ นานมีบุ๊คส์อะวอร์ด ครั้งที่ 5
-รางวัลรองชนะเลิศ อันดับสอง หนังสือภาพเสริมความรู้ เรื่อง ตะล็อก ก๊อกแก๊ก นานมีบุ๊คส์อะวอร์ด ครั้งที่ 6
-รางวัลหนังสือดีเด่น ประเภทการ์ตูนสำหรับเด็ก เรื่อง มงคลชีวิต 38 ประการ งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 41
-รางวัลชมเชย ประเภทการ์ตูนสำหรับเด็ก เรื่อง พิพิธภัณฑ์พิศวง ตอน งูไทย งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 41
ผลงานที่ผ่านมา
-ภาพประกอบนิทานแผ่นพับ กระต่ายกลับใจ (สนพ.มูลนิธิเด็ก)
-การ์ตูน เทียนล๊กปี่เซี๊ยะ ลงนิตยสาร OC comic
-การ์ตูน Creature of Ragnarok และ Tale of the Orcish Voucher
ลงนิตยสารรายสัปดาห์ Ro news และ Compgamer news
-การ์ตูน เมเปิ้ลสตอรี่ และ Ruby rabbit ลงนิตยสาร Maple story new และ นิตยสาร Trickster news
-การ์ตูนเรื่อง Born to be… การ์ตูนความรู้เรื่องเพศศึกษา ให้กับองค์กร PATH
-การ์ตูน ผจญภัยในทะเลดึกดำบรรพ์ (นานมีบุ๊คส์)
-ภาพประกอบนิยาย เรื่อง Game Over หยุดหัวใจไว้ที่ยายตัวร้าย นิตยสาร “เล่มโปรด”
-ภาพประกอบนิยาย เรื่องสวนสนุกสยอง นิตยสาร เล่มโปรด
-ภาพประกอบเรื่องสั้น ชุด จิตหลอน นิตยสาร เล่มโปรด
-ภาพประกอบคอลัมน์ ตำนานดอกไม้ นิตยสารเล่มโปรด
-การ์ตูน Sci-fi เรื่อง ผู้พิทักษ์คุณธรรม นิตยสาร หอมหัวใหญ่
-ภาพประกอบการ์ตูน หนังสือ โครงงานวิทย์ ไม่ยากอย่างที่คิด (นานมีบุ๊คส์)
-ภาพประกอบการ์ตูนไดโนเสาร์ หนังสือ ไดโนเสาร์ในประเทศไทย (นานมีบุ๊คส์)
-การ์ตูน comic เรื่อง Amulet boy ผีจุก (จิณนาสตูดิโอ)
-การ์ตูน comic เรื่อง Gigantic Automaton ยักษา-นารี 3 เล่ม (จิณนาสตูดิโอ)
-การ์ตูนความรู้วิทยาศาสตร์ ติวเตอร์เก่งวิทย์ประถมปลาย เล่ม 3 – 5 (นานมีบุ๊คส์)
-การ์ตูนส่งเสริมการเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์พิศวง ตอน สัตว์สงวนของประเทศไทย
-การ์ตูนธรรมะ มงคลชีวิต 38 ประการ
-การ์ตูนส่งเสริมการเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์พิศวง ตอน งูไทย
ชื่อ: สุเทพ น้อยศรี
ประวัติการทำงาน
2552 – ปัจจุบัน
ปัจจุบัน เป็น computer digital mattepaint artist ให้กับบริษัท imagimax animation design studio
โดยรับผิดชอบทางด้าน character design mattepaint storyboardsและ pre-production
ประสบการณ์การสอนหนังสือ
เป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัย เชียงใหม่สอนวิชา character
เป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัย ศรีประทุมสอนวิชา character และ storyboards
ผลงานที่ผ่านมา
ทางด้าน หนังสือ
−เป็น บก.การ์ตูนเฟรช ของสยามอินเตอร์คอมมิค
−ทำหนังสือ how to paint, สอนวาดรูปด้วยคอมพิวเตอร์
ทางด้านภาพยนตร์
−“อุกกาบาต” – storyboard
−“ขุนกระปี่ ผีระบาด”–animation
−“ตำนานสำเด็จพระนเรศวรมหาราชcomputer digital mattepaint artist
−“แรกบิน”– Avant (RS)” – storyboard
ดูภาพได้จาก facebook พิมพ์ chalerm akkapooผมลงผลงานไว้ในนี้ครับ..
ประวัติโดยย่อ
-จิตรกรรมสากล เพาะช่างวิทยาลัย ปีการศึกษา2519
-เริ่มเขียนภาพประกอบหนังสือเด็กก่อนจบการศึกษา ทำงานด้านนี้ตลอดมาหลายสำนักพิมพ์
-รวมตัวกับ สมชาย ปานประชา โอม รัชเวทย์ เตรียม ชาชุมพร สุรพล พิทยาสกุล เป็นกลุ่มเบญจรงค์ทำสื่อการเรียนการสอน
-ผันตัวเองไปทำงานโฆษณาหลายปีขนะเดียวกันก็ยังเขียนภาพสำหรับเด็กมาตลอด ก่อนจะออกมาทำงานอิสระ
เขียนเรื่องและภาพให้กับหลายสำนักพิมพ์และ สพฐ. กระทรวงศึกษาธิการ จนถึงปัจจุบัน
. พวกเรา :
◥ ผู้เขียน / . ประชา คำสาธิต
email: [email protected]
◥ ผู้วาด / . สุเมธ ธรรมสิทธิ์บูรณ์
email: [email protected]
. ผลงาน :
◥ การ์ตูนรวมเล่ม หลวงพี่แตงโม ธรรมะใสใส ได้ข้อคิด สะกิดรอยยิ้ม เล่มที่ 1
◥ การ์ตูน หลวงพี่แตงโม ส่วนหนึ่งใน กวน มัน ฮา ฉบับที่ 1
◥ การ์ตูน Kung fu Kung fun : บู๊ลิ้ม ยิ้มละไม ได้รับการเผยแพร่ทางเวป kapook
◥ การ์ตูน Monster Pirates : ก๊วนสลัด สัตว์ประหลาด ส่วนหนึ่งใน หอมหัวใหญ่
◥ การ์ตูน เชษฐ์ อดุลย์ โชว์ การันตรี ส่วนหนึ่งใน นิตยสาร BE Magazine
. ประมาณนี้ :