ชีวิตในช่ิองสี่เหลี่ยม ของ “วิศุทธิ์ พรนิมิตร” | ห้องสมุดการ์ตูน / แอนิเมชั่น | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

การ์ตูนที่ดีต้องมาจากชีวิต”

อาจกล่าวได้ว่า พี่ตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิตร และ “hesheit” เป็นต้นแบบของการ์ตูนพ็อคเก็ตบุ๊ค ที่เน้นการนำเสนอแนวคิดไปพร้อมกับภาพ ซึ่งกำลังเป็นทางเลือกใหม่มาแรงในแวดวงการ์ตูนไทย เช่นเดียวกัน การสร้างงานที่เขาเชื่อว่า “ไม่ต้องคิด ทำเท่าที่ทำได้จะได้ทำได้เลย” สามารถโดนใจนักอ่านชาวญี่ปุ่น กระทั่งได้รับการยกย่องให้เป็นนักวาดการ์ตูนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองในประเทศต้นตำรับของการ์ตูนคอมิคทั่วโลก
บทสนทนาขนาดสั้นต่อจากนี้สะท้อนแนวคิดมองต่างมุมของ วิศุทธิ์ พรนิมิตร ภายใต้คำพูดง่ายๆ เช่นเดียวกับลายเส้นเรียบง่ายไม่กี่ช่องของเขาที่มัก “ถมดำ” ด้วยปรัชญาชีวิตแบบที่เรานึกไม่ถึง

ทำไม “hesheit” จึงประสบความสำเร็จจนสร้างชื่อให้พี่ตั้มเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงการ์ตูน
มีหลายองค์ประกอบ ตอนนั้นใครลง “มังกะ แคช” (Manga Katch) ก็ต้องดัง อีกส่วนคิดว่างานเรามาจากยุคนั้น คือเรารู้สึกอะไรก็เขียนลงไป เขียนประสบการณ์ชีวิต มีแฟน ไม่มีที่จอดรถ ขึ้นรถเมล์ กินก๋วยเตี๋ยว คนอ่านก็คงเข้าใจความรู้สึกเพราะเค้าก็อยู่ยุคเดียวกับเรา อันนี้เป็นจุดสำคัญเพราะบางทีการ์ตูนสนุกแต่ไม่ทำให้รู้สึกไปด้วย

คิดว่างานของตัวเองแตกต่างจากการ์ตูนคอมิคทั่วไปในยุคนั้นไหม
มันคงเขียนด้วยจุดประสงค์คนละแบบ การ์ตูนญี่ปุ่นมีตลาดมีระบบ เค้ารู้ว่าทำยังไงถึงจะขายได้ ทำตุ๊กตา ทำเกมออกมาได้ไหม ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าเรื่องต้องเป็นยังไง ตัวละครนิสัยยังไง แต่ของเราไม่คิดเรื่องแบบนั้น งานเรามาจากประโยคสั้นๆ ที่ค้นพบแล้วเอาประโยคนั้นมาขยายเป็นเรื่อง ใช้พื้นที่ 7-8 หน้าก็ได้ความ ทำตุ๊กตาก็ไม่ได้ ทำยาวกว่านี้ก็ไม่ได้ แล้วเราก็ขี้เกียจวาดด้วย วาดรูปก็ไม่สวย เขียนไปก็ไม่ได้เงินมากมาย จึงต้องทำงานอย่างอื่นไปด้วย ต้องรีบทำให้เสร็จ แป๊บหนึ่งประโยคใหม่ก็มาอีกแล้ว 
 

วัตถุดิบในการสร้างเรื่องแต่ละเรื่องมาจากไหน
กินข้าว ขึ้นรถไฟ พอได้เห็นคนหลายประเภทก็ได้เห็นหลายมุม มองมุมกว้างๆ ก็เกิดประโยคแล้ว สมมติไปดูงานศิลปะ ก็ไม่ได้ดูงาน ดูคนมากกว่าว่ามาทำอะไร ใครมาเจอกัน ส่วนใหญ่ไปดูหนังก็จะได้แรงบันดาลใจว่าถ้าทำตรงข้ามกับเค้าจะเป็นยังไง เราชอบสงสัย

การปั้นคาแรกเตอร์ขึ้นมาตัวหนึ่ง อย่าง มะม่วงเกิดจากอะไรบ้าง
เกิดจากว่าเราจะพูดอะไร แล้วมันจะมีรูปร่างของคนที่จะพูดถูกปั้นออกมา เช่น คิดเรื่องความรักผู้หญิงผู้ชายก็ต้องวาดผู้หญิงผู้ชาย “hesheit” ก็มาอย่างนั้น คนหนึ่งพูดตรงๆ แมนๆ อีกคนเป็นผู้หญิงก็จะคิดฉลาดหน่อย บางทีก็เปราะบางไป เลยสมดุลกัน พอสนทนากันก็กลายเป็นปรัชญา ส่วน “มะม่วง” อยากวาดตัวที่ไม่คิดอะไรเลย เดินไปยิ้มไป เป็นผู้หญิงแล้วกันจะได้นิ่มๆ ดี “มะม่วง” มักไม่ได้พูดอะไร ตอนนั้นเบื่อความคิดมากของตัวเอง เริ่มโตขึ้น เริ่มเข้าใจชีวิตว่าเป็นธรรมชาติ ความโง่ลงในชีวิตเราจริงๆ แล้วเป็นความโตขึ้น แต่สมัย “hesheit” จะมีความเป็นกบฏ ต่อต้านความคิดแบบนั้นแบบนี้ 

อยากให้การ์ตูนเปลี่ยนแปลงสังคมเลยไหม
อันนี้คือตอนเด็กๆ เราก็มีหลายยุค พอเขียนไปสักพักการ์ตูนเราจะเย็นลงเรื่อยๆ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรแล้ว เปลี่ยนกันแค่ในเรื่องพอ หรือแอบคิดว่าถ้าคนอ่านอ่านแล้วได้คิดก็โอเค เราอยากเพิ่มมุมมองให้เค้า

สังเกตว่าลายเส้นยุคใหม่ที่วาดให้หนังสือญี่ปุ่นดูนุ่มขึ้นมาก 
เริ่มเป็นยุคทดลองแล้ว เรื่องที่อิสระที่สุดและสนุกที่สุดของเราคือ “hesheit” เขียนไปตามอารมณ์เลย พอเขียนไปเขียนมามันจบแล้ว เรารู้ว่ามันดีที่สุดแล้ว เลยลองทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรา ที่ใจเย็นลง เห็นคนเค้าวาดกันสวยๆ แล้วเราแจ๋วนักเหรอที่มานั่งเขี่ยๆ ทำอย่างเค้าบ้างได้ไหม ก็เลยลองรับงานตามสั่งว่าจะเป็นยังไง ให้ตัวเราเป็นร่างกาย อะไรผ่านมาก็ให้ผ่านไป

ผลการทดลองเป็นยังไงบ้าง
เหมือนเราทดลองใจมากกว่า พอใจกว้างก็ได้เห็นอะไรเยอะ ขี้เกียจจะไปรู้สึกแล้ว มันอีโก้เกินไป ศิลปะมีไว้เพื่อมองอะไรอีกมุมหนึ่ง ถ้ามองแต่อีโก้ตัวเอง จิตใจไม่เป็นอิสระ อาจจะรู้สึกแป๊บๆ แต่ไม่ต้องถือไว้นาน (ฟังดูไปทางธรรมะ?) เราว่างานเราเป็นมานานแต่มันเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าทางไหนมันก็มาถึงอันนี้หมด ไม่ว่าจะปลูกข้าว ขายอะไร เรื่องของจิตใจก็มีเท่านี้ แต่เราไม่ใช่คนไปวัดนะ

คิดว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงเปิดรับการ์ตูนของพี่ตั้ม ทั้งที่การ์ตูนของชาติตัวเองก็เยอะมาก 
การ์ตูนอยู่ในชีวิตคนญี่ปุ่น มีคนซื้อ มีคนทำ มีคนวาด มีหลายประเภทมาก เราเข้าไปง่ายกว่าตลาดเมืองไทยด้วยซ้ำ คิดว่าเนื้อเรื่องเราเดาไม่ออก และเรามีวิธีนำเสนอแปลกๆ ด้วยความที่ไม่มีชื่อเสียงเลยพยายามไปปรากฏตัวในอีเวนท์ทุกแบบ เลยถูกจัดอยู่ในพวก Sub Culture (วัฒนธรรมย่อย) ไม่ใช่การ์ตูน เค้าเล่นดนตรีแปลกๆ ให้เราไปร่วมด้วย เราก็ไปฉายหนังการ์ตูน ก็เพี้ยนดี แต่หลังๆ ก็บ่งชี้ได้ว่ากลุ่มแฟนที่มาดูเป็นกลุ่มไหน 

ในสายตาคนญี่ปุ่น การ์ตูนของพี่ตั้มมีความเป็นไทยไหม
ไม่เคยพูดถึงเลย เค้ามองที่เนื้อเรื่อง หลังๆ จะถูกมองเป็นงานศิลปะมากกว่า เราทำแอนิเมชั่นด้วย ฉายไปก็เอาเปียโนหรือกีตาร์ไปเล่นหน้าจอ หลังๆ ถึงได้งานเขียนการ์ตูนลงนิตยสาร การ์ตูนเล่ม ภาพประกอบนิตยสารแฟชั่น หรืออีกที่ให้เราไปปรึกษาปัญหาชีวิตซะงั้น เพราะเค้าคิดว่าการ์ตูนเรามีปรัชญาชีวิตที่ปลอบใจคนได้ เราก็ทำทุกอย่างที่มีโอกาส เหมือนเป็นกำแพงแล้วเซาะไปในรูเล็กๆ มีรูไหนก็เซาะไป ก็พอจะไหลๆ ไปได้

ขอถามย้อนไปว่าทำไมถึงเลือกไปเรียนที่ญี่ปุ่นคะ
แม่ไล่ให้ไปเรียนอะไรสักอย่างที่ไหนก็ได้ แต่ก่อนเราไม่อยากไป อยากรู้ว่าวาดการ์ตูนมันจะทำเป็นงานได้ไหม ก็ได้ลง “อะ เดย์” กับ “มังกะ แคช” อยู่ 5 ปี แม่ก็มาถามอีก เราเริ่มคิดได้ว่าไปทำตามความฝันตอนเด็กดีกว่า คือตอนเด็กๆ อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นแล้วอยากไปญี่ปุ่น ไปกินขนมแป้งทอด แม่บอกเออไปญี่ปุ่นมีระเบียบดี คนขยันขันแข็ง เราเรียนศิลปะแล้วตกก็ขอไปเรียนภาษาจะได้มีเวลาทำงานด้วย

จะแนะนำคนที่เริ่มวาดการ์ตูนว่าอะไรบ้าง
ถ้าจะทำเป็นอาชีพก็ให้ดูวัฒนธรรมที่เราอยู่ ไม่ใช่ดูแต่การ์ตูน การ์ตูนที่ดีควรเป็นแบบนี้ ยุคแรกที่การ์ตูนญี่ปุ่นประสบความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการเลียนแบบการ์ตูนรุ่นพี่ แต่เกิดจากว่าเค้ารู้สึกอะไรแล้ววาด บางคนอ่านการ์ตูนมาก จนอยากเขียนการ์ตูน แต่ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะไม่มีเรื่องจะพูด ก็เลยไปหยิบเรื่องคนอื่นมาปรับเล่าต่อ แบบนั้นก็โอเค ตามสบาย แต่ถ้าให้เราแนะก็เริ่มจากตัวเองว่าเราคือใคร อยู่ที่ไหน คนรอบตัวเป็นแบบไหน มีตลาดแบบไหน

ในฐานะคนอ่าน การ์ตูนการ์ตูนให้อะไรกับเราบ้าง
เรานิสัยเปลี่ยนเพราะการ์ตูน แต่ก่อนใจร้อน อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นแล้วมันไม่ค่อยโกรธกัน เดี๋ยวมันก็ดีกัน ไม่เหมือน “ทอมแอนด์เจอรี่” ทะเลาะกันได้ทุกตอน แต่การ์ตูนญี่ปุ่นจะมีการพัฒนาจิตใจ สู้กันสักพักจะจับมือกันก่อนตาย หรือบางทีสู้กันแล้วไปเจอศัตรูตัวใหม่ เลยร่วมมือกันไปสู้ศัตรูตัวใหม่

มีตัวการ์ตูนที่ชอบไหมคะ
ชอบ “คิวทาโร่” น่ารักดี ชอบ “ลามู” เด็กผู้หญิงบินได้ ทำให้อยากวาดผู้หญิงบ้าง หน้าการ์ตูนรุ่นใหม่ๆ เราก็เหมือนนะ ไม่ได้ลอกแต่มันเหมือนเอง 

คำถามสุดท้าย จริงๆ แล้วพี่วาด “hesheit” ให้สวยได้ใช่ไหม 
เราเคยพยายามแล้วนะ แต่บางทีที่เราทำให้มันเพอร์เฟ็กต์เนี่ย เราจับได้ว่ามันบิดเบือนเนื้อความหมดเลย บางทีเนื้อหาอยู่ในวิธีวาด เช่น ความไม่สนใจ ความไม่พูด นี่แหละคือเนื้อหา ที่เราทำคือที่ดีที่สุดแล้ว

ที่มา : http://www.trueplookpanya.com


“เอคโค่ จิ๋วก้องโลก 3D” แอนิเมชั่นชั้นดี ที่คนไทยควรดู | ห้องสมุดการ์ตูน / แอนิเมชั่น | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

หากใครที่กำลังคิดถึงหนังแอนิเมชั่นที่สร้างโดยคนไทย วันนี้ กันตนา แอนิเมชั่น สตูดิโอ ผู้สร้างแอนิเมชั่นขวัญใจเด็กๆก้านกล้วย และ ก้านกล้วย 2 กลับมาสร้างหนังแอนิเมชั่นสัญชาติไทยสุดยิ่งใหญ่อีกครั้งหลังจากห่างหายไปกว่า 3 ปี โดยทุ่มทุนสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติเรื่องแรกของไทย “เอคโค่ จิ๋วก้องโลก 3D”

เอคโค่ จิ๋วก้องโลก 3D เล่าเรื่องราวของ จ่อเป เด็กชายตัวน้อยผู้มีความสามารถในการสื่อสารและพูดคุยกับธรรมชาติ และพี่สาวชาวกระเหรี่ยงคอยาว หน่อวา เด็กสาวผู้มีความรู้ด้านสมุนไพร และศิลปะการต่อสู้สไตล์กะเหรี่ยง เรื่องราวพาสองพี่น้องโคจรมาเจอกับ แซม ลูกชายประธานาธิบดีแห่งแคปิตอลสเตท เด็กน้อยผู้ชอบเอาแต่ใจที่เดินทางมาเข้าค่ายลูกเสือโลกที่ประเทศไทย มิตรภาพของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นหลังจากสองพี่น้องชาวเขาได้ช่วยเหลือ แซม หลังเกิดพลัดหลงเข้าไปในป่าหมอก เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวการรวมพลพิทักษ์โลกของ 3 สหาย

เอคโค่ จิ๋วก้องโลก 3D กำกับโดย คมภิญญ์ เข็มกำเนิด ผู้กำกับก้านกล้วยภาค1 เลือกหยิบประเด็นเรื่องราวใกล้ตัวมนุษย์อย่างปัญหาโลกร้อน มาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเป็นเรื่องราวภารกิจการผจญภัยกู้โลกของเหล่าตัวเอก ซึ่งกระแสช่วงแรกของ เอคโค่ จิ๋วก้องโลก 3D ไม่ค่อยดีนัก ทั้งจากตัวอย่างหนังที่ทำออกมาไม่ค่อยน่าสนใจและการประชาสัมพันธ์ที่ไม่มากเท่าที่ควร ทำให้มีหลายคนกำลังลังเลในการเลือกที่จะดูหนังเรื่องนี้ อีกทั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีภาพยนตร์น่าสนใจหลายเรื่องให้คอหนังได้เลือกดูมากมาย

แต่พอมีโอกาสได้ชมแอนิเมชั่นสัญชาติไทยเรื่องนี้แล้วต้องขอชมเชยว่าทำได้ดีกว่าที่คาดไว้มาก ทั้งด้านการเล่าเรื่องที่ทำออกมาได้สมเหตุสมผลเข้าใจง่าย ไม่วกไปวนมา สามารถนั่งชมได้อย่างไหลลื่นตลอดเรื่อง การเลือกนำเสนอเรื่องราวของภาวะโลกร้อนก็ทำออกมาได้ในมุมมองที่น่าสนใจ รวมไปถึงช่วงท้ายเรื่องและฉากจบก็สร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี ช่วยทำให้เด็กๆเข้าใจปัญหาและความน่ากลัวของภาวะโลกร้อนได้ง่ายขึ้น

สิ่งสำคัญที่สุดและควรยกย่องคืองาน 3 มิติของแอนิเมชั่นเรื่องนี้มีคุณภาพมาก จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นผลงาน 3 มิติเรื่องแรกของผู้กำกับท่านนี้ ทั้งการวางมุมกล้องเพื่อนำเสนอภาพ 3 มิติ ที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม การแสดงสีหน้า อารมณ์ บุคลิกลักษณะของตัวละคร ทำออกมาได้จนเหมือนตัวละครเหล่านั้นมีชีวิตจริงๆ ทำให้คนดูสนุกที่จะลุ้นตามไปกับทุกการกระทำของตัวละคร แต่ต้องยอมรับว่าหนังมีเป้าหมายเน้นกลุ่มเด็กและเยาวชนเป็นหลัก ทำให้ผู้ใหญ่บางคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ชอบ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน

ถ้ามองในภาพรวมทั้งหมดแล้ว เอคโค่ จิ๋วก้องโลก 3D เป็นแอนิเมชั่นที่สนุก ครบรส และแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นของไทย ว่าสามารถแข่งขันกับแอนิเมชั่นของต่างประเทศได้อย่างไม่ต้องอายใคร ขอเพียงคนไทยเปิดใจเข้ามาชมและให้กำลังใจคนทำหนังให้มากขึ้นเท่านั้น ก้าวต่อไปของวงการแอนิเมชั่นไทยต้องไปไกลระดับโลกแน่นอน

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

ที่มา:  http://www.dailynews.co.th


‘นครินทร์ ศรีเลิศ’ จากนักข่าวสู่นักเขียนรางวัล ‘เรื่องสั้นอิศรา’ | ห้องสมุดการ์ตูน / แอนิเมชั่น | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

โดย : ปริญญา ชาวสมุน

อาชีพ แต่ละอาชีพย่อมมีความแตกต่าง แม้บางอย่างจะคล้ายคลึงกันก็ตามที เหมือนนักข่าวและนักเขียนที่มีเพียงเส้นบางๆ คั่นกลางระหว่างสองอาชีพนี้ไว้

ทว่า แก่นแกนสำคัญของทั้งสองอาชีพคือ ‘การเขียน’

 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดเลย หากจะพบเห็นนักข่าวมาเป็นนักเขียนหรือนักเขียนมาเป็นนักข่าว เฉกเช่นเดียวกับ นครินทร์ ศรีเลิศ นัก ข่าวหนุ่มสายเศรษฐกิจ แห่งหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ แม้อายุงานของเขา ณ องค์กรสื่อแห่งนี้จะไม่มากมายนักเพียงปีครึ่งเท่านั้น แต่เมื่อครั้งร่ำเรียนเขียนอ่านที่มหาวิทยาศิลปากร เขาก็ไม่เคยห่างจากการเขียนหนังสือเลย มิหนำซ้ำยังมีผลงานตีพิมพ์อีกด้วย

“ช่วงที่เรียน มหาวิทยาลัยที่ศิลปากร เขียนหนังสือคู่กับเรียนหนังสือมาแทบจะตลอด อย่างไรก็ตามงานที่ได้ตีพิมพ์ก็มีไม่มากนัก มีนวนิยายเรื่อง เกลียวคลื่นกับผืนดิน เรื่องสั้น มหัศจรรย์วันวานย้อนตำนานอากง เด็กเก็บบอล ลานทรงพล  และเรื่องพญาอินทรีย์

  ย้อนไปเมื่อชั้นปีที่หนึ่ง นครินทร์ เริ่มสนใจและลงมือเขียนหนังสือ แม้จะเริ่มต้นไม่นานแต่เขาก็กล้าหาญชาญชัยส่งผลงานนิยายเข้าประกวดรางวัล Young Thai Artist Award ของมูลนิธิเครือซิเมนต์ไทย เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และชิงทุนการศึกษา ผลคือ นิยายของเขาเข้ารอบ 10 เล่มสุดท้าย แต่ผลงานของเขากลับไม่ได้รับการเผยแพร่

 “มูลนิธิฯ เขาตีพิมพ์เรื่องที่เข้ารอบ 5 เรื่องแรกเท่านั้น เรื่องของผมก็เลยอดตีพิมพ์ แต่หลังจากนั้นก็ส่งเรื่องไปทุกปี เพื่อรับทุนการศึกษา มีปีสี่ที่ไม่ได้ส่งเพราะเรียนหนักมาก”

 ความพลาดหวังครั้งหนึ่งมิอาจกำหนดชะตาทั้งชีวิตฉันใด เส้นทางสายน้ำหมึกของนครินทร์ก็ยังคงดำเนินต่อฉันนั้น หลังจากได้เริ่มต้นเขียนหนังสือ เขาก็ติดอกติดใจรสแห่งวรรณกรรมอันกลมกล่อม ทยอยส่งผลงานให้ประจักษ์แก่สายตาประชากรบรรณพิภพอยู่เนืองๆ จนกระทั่งสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  ร่วมกับ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนชนแห่งประเทศไทย จัดประกวดวรรณกรรมเรื่องสั้น “รางวัลอิศรา อมันตกุล” ขึ้น  เพื่อส่งเสริมและเปิดโอกาสให้คนในวงการสื่อทุกแขนงที่สนใจเขียนงานวรรณกรรมนั่นแหละ จึงทำให้เรื่องสั้นสองเรื่องของ นครินทร์ ศรีเลิศ เข้ารอบ 10 เรื่องสุดท้าย ได้แก่ ‘ทวิตภพ ทวิตพบ’ และ ‘แทบเล็ตของติ๋ม’ ซึ่งทำให้แววความสำเร็จด้านการเขียนเริ่มฉายชัดอีกครั้ง

  สำหรับการประกวดวรรณกรรมเรื่องสั้น “รางวัลอิศรา อมันตกุล” นั้น จัดขึ้นในปี 2555 เป็นปีแรก  เป็นโครงการที่จัดขึ้นโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  ร่วมกับ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย และได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน)  มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมคนในวงการสื่อสารมวลชนที่สนใจการเขียนวรรณกรรม โดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าการประกวดเรื่องสั้นรางวัลอิศราจะเพิ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ แต่ก็มีนักข่าวสายนักเขียนระดับยอดฝีมือร่วมชิงชังไม่น้อยเลย ชื่อบางคนคุ้นหูคุ้นตากันดีในบรรณพิภพ ชื่อบางคนก็ใหญ่โตพอจะทำให้ผู้ร่วมประกวดคนเล็กคนน้อยรู้สึกหวาดๆ กันบ้างก็มี

 แต่ในที่สุด ‘ทวิตภพ ทวิตพบ’ ของนครินทร์ก็ทะยานขึ้นแท่นคว้ารางวัลชนะเลิศจนได้ และด้วยค่าที่เรื่องสั้นของเขากรุ่นกลิ่นเทคโนโลยี ทั้งยังหยิบจับการทำงานของนักข่าวซึ่งเขารู้ซึ้งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมาเป็น จุดขายของเรื่อง เมื่อโลกเทคโนโลยีกับบรรณพิภพบรรจบกัน เรื่องสนุกๆ ในมุมมองของนักข่าวที่ต้องคลุกคลีตีโมงกับ ‘ทวิตเตอร์’ เพื่อชิงความได้เปรียบส่งข่าวแข่งกับสื่อโทรทัศน์และวิทยุ จึงเกิดขึ้น

 “จริงๆ ผมใช้ทวิตเตอร์มาประมาณหนึ่งปี ตามนโยบาย Mobile Journalist ขององค์กร ซึ่งพอจะเขียนเรื่องนี้ก็เริ่มศึกษาโปรแกรมทวิตเตอร์มากขึ้น เก็บข้อมูลสถิติต่างๆ ที่อาจเอามาย่อยเป็นองค์ประกอบของเรื่องสั้นได้ คำถามแรกที่ค้นหาก็คือ ผมอยากรู้ว่ามีคนไทยที่ใช้ทวิตเตอร์จำนวนเท่าไร ปริมาณข้อความที่เราทวีตกันประมาณวันละเท่าไร ซึ่งก็ต้องขอบคุณเว็บไซต์ Zocialrank ที่ได้สรุปสถิติเกี่ยวกับการทวีตบนเว็บไซต์ทวิตเตอร์ (Twitter) ของคนไทย ตลอดปี 2554 เอาไว้ พอเริ่มลงมือเขียนเวลาเราเขียนประโยคที่ตัวละครทวีตข้อความลงไป ผมก็ลองพิมพ์ข้อความลงในโปรแกรมจริงๆ นะ อย่างข้อความแรกที่บอกว่า ข้อความครบ 140 ตัวอักษรพอดี ก็ทดลองจนได้ตามนั้นจริงๆ เพราะเราต้องการแสดงเอกลักษณ์ของทวิตเตอร์ไว้ในข้อความนั้น ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับตรงนี้มากเป็นพิเศษ

 หลังจากเขียนเสร็จก็เป็นขั้นตอนของการขัดเกลาถ้อยคำ ให้สละสลวยขึ้น ซึ่งทำควบคู่ไปกับการเขียนเชิงอรรถอธิบายศัพท์บางคำ เช่น ฟอลโลว์เวอร์ หรือรีทวีต เพราะเราต้องคิดเผื่อด้วยว่าบางทีคนอ่าน (กรรมการ) อาจจะไม่ได้เล่นทวิตเตอร์จะได้เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อสาร

 นอกจากได้ใช้ประโยชน์จากทวิตเตอร์เพื่อทำการงานแล้ว เขายังมองทวิตเตอร์เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมแบบหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถ่ายไปได้อีกหลายประเด็นความ

 “ผมมองทวิตเตอร์ว่ามันเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมนะ และเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบ มีเวลาน้อยแต่ต้องการรู้ข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งด้านหนึ่งก็คือภาพสะท้อนของสังคมบริโภคนิยมนั่นเอง ที่สำคัญแม้จะมีคนใช้ทวิตเตอร์เป็นจำนวนมากแต่เท่าที่ทราบผมยังไม่เคยเห็น เรื่องสั้นที่เขียนเกี่ยวกับทวิตเตอร์ ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องท้าทายที่จะเขียนมันขึ้นมา”

 อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นจนโดดเด้งออกมาจากบรรดาเรื่องสั้นอื่นๆ คือชื่อเรื่อง แม้คำว่า ‘ทวิตภพ’ จะแพร่หลายในทวิตเตอร์มานานแล้ว แต่เมื่อพ้องกับชื่อเรื่อง ‘ทวิภพ’ ของนักเขียนระดับปรมาจารย์อย่าง ทมยันตี ย่อมน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก ทว่า นครินทร์ตั้งใจให้ทวิตภพสื่อถึงโลกอีกดวงที่กำลังถูกให้ค่าเหนือโลกจริงซึ่ง มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่

 “คำว่า ‘ทวิตภพ’ เป็นคำที่ผมเห็นบางคนใช้ในการสื่อสารในทวิตเตอร์ บางคนตื่นขึ้นมายังไม่ได้ทักทายคนที่นอนอยู่ข้างๆ หรืออยู่บ้านเดียวกัน แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทวีตข้อความ “อรุณสวัสดิ์ ชาวทวิตภพ” ไม่ได้ตั้งใจให้พ้องกับชื่อเรื่อง ‘ทวิภพ’ ของคุณทมยันตี แต่ความหมายที่ตั้งใจสื่อคือ ภพ ก็คือ ‘โลก’ นัยหนึ่งคือ โลกเสมือนจริง ซึ่งต่างจากโลกแห่งความจริงก็อยากให้คนอ่านตั้งคำถามว่าโลกที่เรารับรู้ผ่าน การใช้เทคโนโลยีบางทีอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้”

 เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องสั้น ‘แทบเล็ตของติ๋ม’ ที่ผ่านเข้ารอบ 10 เรื่องสุดท้ายเช่นกัน ทั้งยังมีประเด็นเกี่ยวข้องกับเครื่องมือสื่อสารทันสมัยเหมือนกัน แต่นครินทร์ถ่ายทอดให้ทั้งสองเรื่องเดินกันคนละทางชัดเจน เขาตั้งใจให้ ‘แทบเล็ตของติ๋ม’ เล่าผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายและมาตรการรัฐซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น โดยมีตัวละครเป็นตัวแทนของคนอื่นในสังคม ส่วน ‘ทวิตภพ ทวิตพบ’ คือการหยิบยกเหตุการณ์และปัญหาหลายอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาเขียนในเชิงตั้งคำถาม

 นครินทร์เล่าว่า ‘ทวิตภพ ทวิตพบ’ คือเครื่องมือสื่อสารที่เขาใช้ถ่ายทอดสู่คนอ่าน “เทคโนโลยีอาจสร้างนิสัยให้คนยึดติดกับเทคโนโลยีจนลืมตั้งคำถามว่าเรื่อง นั้นจริงหรือไม่จริงเพียงไร และแม้เทคโนโลยีจะช่วยให้คนในทุกมุมโลกเชื่อมต่อและสื่อสารกันได้ แต่ลึกๆ แล้วในความเป็นมนุษย์ องค์ประกอบที่สำคัญก็คือ ต้องการความรักความเข้าใจ ‘ผม’ ในเรื่องจึงคาดหวังว่าในที่สุดทวิตเตอร์จะพาไปพบกับผู้ที่จะเข้าใจและยอมรับ ในความเป็นตัวตนของเขา”

 ตัวละคร ‘ผม’ ในเรื่อง ถูกสมมติขึ้นตามวิธีการเล่าเรื่องแบบหนึ่ง หากมองอย่างผิวเผินแล้ว ‘ผม’ ซึ่งมีอาชีพเป็นนักข่าวที่ต้องใช้ทวิตเตอร์เป็นช่องทางรับส่งข่าวสาร อีกทั้งยังใช้เพื่อหาบางสิ่งที่มนุษย์พึงปรารถนา อาจคล้ายว่า นครินทร์กำลังเล่าเรื่องส่วนตัวให้ส่วนรวมร่วมรับรู้ก็เป็นได้ แต่นครินทร์ก็ปฏิเสธว่า ‘ผม’ ไม่ใช่ ‘ผม’ เสียทั้งหมด แต่ก็มีหลายส่วนเป็นความรู้สึกที่ตกค้างมาจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการ เมือง

 “ผมเก็บเอาเรื่องราวที่ได้ฟังพี่ๆ นักข่าวการเมืองเล่าประสบการณ์ในการออกไปทำข่าวในช่วงที่มีการปะทะกัน ระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่รัฐมาเขียน อีกส่วนหนึ่งที่เขียนเป็นในแง่ตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกันก็คือทุกวันนี้เรา เห็นผู้ชุมนุมเห็นม็อบบ่อยๆ พวกเรารู้สึกอย่างไร มีใครตั้งคำถามถึงที่มาที่ไปของพวกเขาบ้างหรือเปล่า ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าเราตั้งคำถามให้ลึกไปกว่าว่า “ไอ้พวกนี้ถูกจ้างมา” ผมเชื่อว่าปัญหาในสังคมจะถูกแก้ไขมากขึ้น”

 นอกจากนี้นครินทร์ยังเล่าต่อว่า เรื่องสั้น ‘ทวิตภพ ทวิตพบ’ ไม่ได้สื่อสารกับคนอ่านเพียงประเด็นเดิมๆ นี้ ประเด็นเดียว เขาต้องการฉายภาพการรายงานข่าวที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยและเทคโนโลยี รวมทั้งพฤติกรรมในการรับรู้ข่าวสารที่เปลี่ยนไป เขาต้องการบอกเล่าการทำงานของสื่อมวลชนในสถานการณ์ขัดแย้ง เขาอยากสะท้อนความขัดแย้งในสังคมไทยที่ชนวนมาจากปมปัญหาทางการเมือง และเขาอยากกล่าวถึงการแสวงหาความรักและการยอมรับอันเป็นความคิดพื้นฐานของ มนุษย์

 นอกจากนครินทร์จะเป็นนักข่าวนักเขียนมือดีแล้ว วัตถุดิบต่างๆ รวมทั้งลีลาภาษาย่อมได้มาจากการอ่านทั้งสิ้น เขาคือนักอ่านตัวยง อ่านหลากหลาย โดยเฉพาะนิยายแปล แนวสืบสวนสอบสวน การผูกเงื่อนปม ดำเนินเรื่อง กระทั่งคลี่คลาย จึงค่อนข้างสละสลวย ขณะที่เขากำลังรังสรรค์ ‘ทวิตภพ ทวิตพบ’ หนังสือ ‘เส้นสมมติ’ ของ วินทร์ เลียววาริณ ซึ่งเป็นแรงขับหนึ่งในผลงานเรื่องสั้นระดับรางวัลของเขา

 “หนังสือเรื่อง เส้นสมมติ มีอิทธิพลต่อเรื่อง ทวิตภพฯ หรือไม่ คงมีผลบ้างเนื่องจากหนังสือเรื่องนี้เขียนเรื่องความสัมพันธ์ของคนในรูปแบบ ต่างๆ แต่เรื่องสั้นที่เขียนขึ้นมาแต่ละเรื่องคงไม่ได้มีแรงขับจากหนังสือเล่มใด เล่มหนึ่งโดยเฉพาะแต่เป็นส่วนผสมของประสบการณ์หลายๆ อย่าง ทั้งประสบการณ์ชีวิต และประสบการณ์ที่เคยอ่านหนังสือสะสมมา”

 เรื่องสมมติจึงไม่สมมติอีกต่อไป เขาส่งงานเข้าประกวดทั้งๆ ที่ไม่ได้เขียนมานานนับปี ทั้งยังเกือบส่งงานไม่ทันเพราะกว่าจะส่งไปรษณีย์ก็เกือบปิดแล้วในวันสุดท้าย กำหนดส่งผลงาน แม้ต้นทางของงานจะทุลักทุเลอยู่บ้าง แต่เรื่องสั้นของเขาก็ไปถึงมือคณะกรรมการจนได้ ที่สำคัญเข้าตากรรมการอีกด้วย…’ทวิตภพ ทวิตพบ’ ได้รางวัลชนะเลิศ

 “ผมรู้สึกดีใจระคนแปลกใจ จริงๆ รู้สึกดีใจตั้งแต่ตอนที่เรื่องสั้นทั้งสองเรื่องเข้ารอบ 10 เรื่องสุดท้าย พอไปถึงที่งานประกาศรางวัลเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกอะไร แต่เราเห็นเรื่องสั้นของเราได้รางวัลที่ 1 ก็รู้สึกภูมิใจ ตื่นเต้นและเคอะเขินเล็กน้อยตอนที่ต้องขึ้นไปรับรางวัล”

 ไม่ว่าสิ่งใดจะเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความสำเร็จ รางวัลคือหนึ่งในสิ่งอันทรงเกียรตินั้น สำหรับนครินทร์ก็เฉกเช่นกัน…

 “รางวัลเรื่องสั้นอิศราถือเป็นความสำเร็จที่น่ายินดีอย่างหนึ่ง แต่ในฐานะคนเขียนหนังสือทุกเรื่องที่เขียนเสร็จได้อย่างที่ตั้งใจ ทุกเรื่องที่มีคนอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบแต่มีคำติชมที่เป็นประโยชน์ถือเป็นความสำเร็จเช่นกัน”

 อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนักข่าวและนักเขียนคล้ายคลึงกันมาก มีเพียงเส้นบางๆ คั่นกลางไว้ แล้ว ‘เส้นบางๆ’ ที่ว่าคืออะไร ในฐานะที่นครินทร์ได้ลอดผ่านเส้นดังกล่าวโดยสมบูรณ์แล้ว ทั้งข่าวและวรรณกรรมเขา “เอาอยู่ !”

 “ผมคิดว่างานวรรณกรรมกับงานข่าวเป็นการเล่าเรื่องเหมือนกัน แต่งานวรรณกรรมหรืองานเขียนเราเล่าเรื่องแต่ง อาจเป็นเรื่องแต่งที่อิงจากเรื่องจริงผสมกับจินตนาการ ขณะที่งานข่าวเราต้องเล่าเรื่องจริงทั้งหมดจะเอาเรื่องแต่งมาอิงด้วยไม่ได้ ถามว่าชอบงานแบบไหนมากกว่าคงตอบว่าชอบทั้ง 2 อย่างเท่าๆ กัน ส่วนจะถนัดอย่างไหนมากกว่ากันต้องตอบว่าความถนัดเปลี่ยนไปตามระยะเวลา ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าเราถนัดเขียนเรื่องสั้นมากกว่า แต่ปัจจุบันก็คิดว่าถนัดเขียนข่าวมากกว่าเพราะข่าวเราต้องเขียนแทบทุกวัน อย่างไรก็ตามทั้งข่าวและเรื่องสั้นผมคิดว่าตัวเองยังพัฒนาได้ ไม่ใช่ว่าวันนี้บอกว่าถนัดเขียนข่าวแล้วจะหยุดฝึกเขียนข่าว ขณะเดียวกันเรื่องสั้นก็ต้องพัฒนาการเขียนไปได้เรื่อยๆ เพราะจริงๆ แล้วเรื่องสั้นมีวิธีการนำเสนอที่หลากหลายมาก”

 เขายกตัวอย่างสิ่งที่ ชมัยภร แสงกระจ่าง อดีตนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย พูดไว้อย่างน่าประทับใจว่า “ในอดีตนักข่าว และนักเขียนเป็นคนคนเดียวกัน” ซึ่งเขาก็เชื่อว่านักข่าวเป็นนักเขียนที่ดีได้ เพราะอาชีพนักข่าวเปิดโอกาสให้ได้รับรู้ข้อมูลมากดังนั้นจึงมีข้อได้เปรียบ เนื่องจากมีวัตถุดิบให้เลือกมาเขียนได้มากมาย

 ความสำเร็จของ นครินทร์ ศรีเลิศ ในวันนี้เป็นความภาคภูมิใจส่วนตัวของเขา แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอีกหลายคนที่อยากเดินตามรอย บางคนอาจเริ่มเขียน บางคนอาจยังเคอะเขินไม่กล้าเขียน แต่เจ้าของรางวัลเรื่องสั้นอิศราคนนี้เชื่อมาตลอด คือ ถ้าอยากเขียนต้องเริ่มเขียน หยุดเป็นนักคิดแล้วเปลี่ยนเป็นนักปฏิบัติ

 “การเขียนหนังสือเป็นการทำงานที่ช่วยให้เราเปลี่ยนจากนักคิดมาเป็น นักปฏิบัติ ดังนั้นใครที่อยากเขียนหนังสือ ต้องเลิกพูดว่าจะเขียน หรือว่าจะเขียน แต่ต้องลงมือเขียน ที่สำคัญนอกจากฝึกเขียนเราต้องฝึกคิดควบคู่กันไปด้วย เพราะยิ่งคิดได้ตกผลึกเท่าไรสิ่งที่เราเขียนก็จะชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น”

 และแล้วสิ่งที่ตกผลึกในสมองของเขาก็ผ่านกระบวนการ ‘เขียน’ กลายเป็นเรื่องสั้นคุณภาพ ‘ทวิตภพ ทวิตพบ’ ประจักษ์แก่สายตาคนอ่านและผงาดอย่างงามสง่าบนเวทีวรรณกรรมอีกด้วย

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com  ( http://bit.ly/LKdYio )


“พาไรโดเลียรำลึก” เหนือจินตนาการ | ห้องสมุดการ์ตูน / แอนิเมชั่น | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

โดย : จรูญพร ปรปักษ์ประลัย

พา ไรโดเลีย คือการมองสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง/รูปทรงแน่นอนให้เป็นบางสิ่งที่มีลักษณะชัดเจน เช่น มองก้อนเมฆเป็นรูปสัตว์หรือสิ่งของต่างๆ

พาไรโดเลียรำลึก
เขียน : ปราบดา หยุ่น
สำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น ราคา 135 บาท, 98 หน้า

………………………………………………………….

“…มันเป็นปฏิกิริยาทางจิตที่สร้างภาพคุ้นตาขึ้นจากภาพที่เป็นนามธรรม…” (หน้า 22)

นี่คือคำจำกัดความของ ‘พาไรโดเลีย’ ที่วิกเตอร์ หนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกัน ให้กับเด็กสาวชาวไทยซึ่งติดตามพ่อไปใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น ก่อนที่จะได้พบกับวิกเตอร์ แล้วก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่เรียกกันว่าความรัก

หากคำจำกัดความนี้ยังยากเกินไป ก็อธิบายให้ง่ายขึ้นได้ว่า ‘พาไรโดเลีย’ ก็คือการมองสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง/รูปทรงแน่นอนให้เป็นบางสิ่งที่มีลักษณะ ชัดเจน เช่น มองก้อนเมฆเป็นรูปสัตว์หรือสิ่งของต่างๆ, มองของเล่นที่ลูกวางไว้เกลื่อนกลาดเป็นตัวอักษรข้อความ, มองรอยคราบบนฝาผนังเป็นภาพพระพุทธเจ้า เป็นต้น

หลังจากที่เด็กสาวได้รู้เกี่ยวกับพาไรโดเลีย เธอก็กลายเป็นเหมือนกับวิกเตอร์ ที่มีความสุขกับการมองหาภาพในสิ่งต่างๆ อยู่ทุกเวลานาที ทันทีที่เห็นเป็นภาพ เธอจะชี้ชวนให้วิกเตอร์ดู และวาดภาพนั้นบันทึกไว้ในสมุดสเก็ตช์ของเขา ในไม่ช้า ทั้งพาไรโดเลีย และวิกเตอร์ ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ

“…ฉันจะสอดส่ายสายตามองหาอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่อะไรเลยสักอย่างอยู่เสมอ…” (หน้า 23) 

วิกเตอร์และพาไรโดเลีย ได้เข้ามาเติมเต็มชีวิตที่ว่างเปล่าของเด็กสาวคนหนึ่งให้กลับมีความหมายขึ้น มา ดูเหมือนว่านี่เป็นสิ่งที่เธอรอคอยมาทั้งชีวิต เฝ้ามองโดยหวังจะเห็นการปรากฏของมัน เมื่อได้เห็น เธอจึงกระโจนเข้าใส่โดยไม่รั้งรอ

 ‘พาไรโดเลีย’ ที่ ปราบดา หยุ่น นำ มาใช้ในเรื่องสั้นขนาดยาว “พาราโดเลียรำลึก” เรื่องนี้ ได้สะท้อนด้านลึกของตัวละครออกมาได้อย่างแจ่มชัด ที่ผ่านมา ชีวิตของเด็กสาวเป็นเหมือนสิ่งที่ล่องลอยไปมา ไร้ความหมาย ไม่มีภาพที่แจ่มชัด และไม่อาจเข้าใจเหตุผลของการดำรงอยู่ พาราโดเลียและวิกเตอร์ได้เข้ามาเปลี่ยน ให้เธอเห็นภาพตัวเองชัดเจนขึ้น เป็นภาพของเด็กสาวที่มีเสน่ห์ มีความรัก และมีความสุข

แต่ภาพที่มองเห็นกับความเป็นจริง ใช่ว่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน เหมือนก้อนเมฆที่ก่อตัวคล้ายรูปของสิ่งต่างๆ ในไม่ช้ามันก็ผันแปรเปลี่ยนไปเป็นรูปอื่นๆ

ไม่แต่การมองตัวเองเท่านั้น การเข้ามาของวิกเตอร์ก็มีลักษณะเดียวกัน แรกเริ่มเธอคิดว่าเห็นภาพเขาอย่างแจ่มชัด แต่หลังจากนั้น ภาพชายหนุ่มที่มองเห็นก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จนในท้ายที่สุด เขาก็ดูเหมือนไม่ใช่คนที่เธอเคยรู้จัก หรือจะพูดให้ถูกไปกว่านั้น เธออาจไม่เคยรู้จักเขาเลยจริงๆ เลยก็ได้

หากมองในแง่นี้ ‘พาไรโดเลีย’ ก็ไม่ได้เป็นเพียงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า มองรอยเลอะเปรอะเปื้อนของสิ่งต่างๆ หรือมองไปที่ข้าวของที่วางระเกะระกะเท่านั้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา ล้วนมี ‘พาไรโดเลีย’ เข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ทั้งนี้ก็เพราะ  “…คนเรามักต้องการเข้าใจมากกว่าไม่เข้าใจ ต้องการสร้างเรื่องราวขึ้นจากสิ่งที่ไม่มีเรื่องราว หาความหมายในสิ่งที่ไม่มีความหมาย…” (หน้า 22) สิ่งต่างๆ ที่เราพบเจอในชีวิต จะถูกผนวกด้วยจินตนาการเข้าไป เพื่อให้สิ่งเหล่านั้นชัดเจนขึ้น มีความหมายบางอย่าง และสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน

น่าสนใจว่า ขณะที่บอกเล่าเรื่องราวของตัวละคร ปราบดา หยุ่น ก็ เล่นล้อกับผู้อ่านไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะหากมองกันกว้างๆ การอ่านก็เป็น ‘พาไรโดเลีย’ แบบหนึ่ง คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอ่านอะไรก็ตาม จะพยายามหาทางเข้าใจเรื่องราวที่นักเขียนบอกเล่า พร้อมหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้นอยู่เสมอ หากไม่เข้าใจและไม่เห็นความหมายใดๆ ก็จะประเมินว่า นี่เป็นงานเขียนที่ไม่ดี อ่านไม่รู้เรื่อง และไม่ให้ความหมายที่ลึกซึ้ง

ปราบดา หยุ่น วาง โครงสร้างเรื่อง “พาราโดเลียรำลึก” ไว้เช่นเดียวกับตัวละครวิกเตอร์ นั่นก็คือเป็นสิ่งที่ดูเหมือนมีรูปร่างแน่นอนตายตัว วิกเตอร์เป็นหนุ่มลูกครึ่งหล่อเหลา สุภาพ นุ่มนวล เปี่ยมจินตนาการ พร้อมด้วยความสามารถทางศิลปะ เขาคือผู้ชายที่เกิดมาเพื่อเป็นพระเอกในนวนิยายอย่างแท้จริง ตัวละครแบบนี้แหละที่ผู้อ่านจะหลงรักได้ง่ายๆ ขณะเดียวกัน เรื่องราวก็มีโครงสร้างแบบเรื่องรักโรแมนติก หนุ่มเหงา สาวเปลี่ยว มาเจอกัน ณ เมืองอันห่างไกล ที่ซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย ทว่าเขาและเธอกลับรู้สึกเหมือนไม่มีใคร จนกระทั่งได้มาเจอกัน นี่คือโครงสร้างเรื่องในแบบที่เราคุ้นเคย เข้าใจได้ง่าย และรู้สึกว่ามีความหมาย

แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ความคุ้นเคยนี้ก็เริ่มเคลื่อนคลาย ก่อเกิดเป็นความคลุมเครือ ไม่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งพระเอกวิกเตอร์และโครงสร้างเรื่องความรัก สุดท้ายเรื่องราวก็พลิกผันกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ตัวละครและโครงสร้างเรื่องไม่เป็นแบบที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป

ณ จุดนี้ ตัวละครเด็กสาวกับผู้อ่านถูกวางไว้ตรงตำแหน่งเดียวกัน เด็กสาวคิดว่าวิกเตอร์และพาไรโดเลียคือสิ่งที่สร้างความหมายให้กับชีวิตเธอ ในขณะเดียวกัน เรื่องราวความรักอันน่าประทับใจของเขาและเธอ ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายสำหรับผู้อ่านเช่นกัน

อาจบอกได้ว่า นี่คือเรื่องราวความรักของเด็กสาวผู้อ่อนประสบการณ์และเต็มไปด้วยความฟุ้ง ฝัน เรื่องเริ่มต้นเหมือนในนิยายรักทั้งหลาย มันทำให้ทั้งตัวละครเด็กสาวและผู้อ่านหลงคิดไปว่า เรื่องราวต้องเป็นไปตามแบบฉบับที่เคยประทับใจ แต่ที่แท้มันกลับไม่ใช่เลย

ในความเป็นจริง ไม่ว่าใครจะมองก้อนเมฆเป็นรูปอะไร เมฆก็ยังคงเป็นแค่เมฆ เช่นเดียวกับคนแต่ละคน ไม่ว่าใครจะมองใครอย่างไร เป็นพระเอก นางเอก ผู้ร้าย ตัวตลก ตัวประกอบ หรืออื่นๆ ก็ไม่มีใครเป็นเช่นนั้นตามที่คนอื่นมองเห็น เขายังคงเป็นเขาในแบบของเขา

ไม่มีอะไรที่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว ใครจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ หรือมันจะมีความหมายใดๆ หรือเปล่า นั่นไม่ใช่ปัญหาของสิ่งที่ถูกมอง แต่เป็นปัญหาของผู้ที่มองต่างหาก หากมองด้วยดวงตาที่อ่อนต่อโลก เราจะมองไม่เห็นความจริง แต่จะเห็นแค่สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาจากความจริงนั้น

ผมชอบตอนจบของเรื่องที่เหตุการณ์ร้ายๆ ที่เด็กสาวได้รับ ไม่ทำให้เธอทุกข์ร้อนฟูมฟาย ในทางกลับกัน เธอกลับยอมรับมันอย่างเข้มแข็ง จากเด็กที่ไม่ประสีประสา บัดนี้เธอเข้าใจแล้วว่า สิ่งต่างๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบที่เธอคิดว่ามันควรจะเป็น

“…ในวัยสิบเจ็ดย่างสิบแปดฉันได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่ไม่คาดว่าจะได้รู้คือพ่อของฉันก็ชอบดูหนังโป๊กับเขาด้วย…” (หน้า 91)

พ่อที่ไม่ใช่พ่อตามแบบฉบับ ก็เป็นเช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ ในชีวิตเด็กสาว ที่ล้วนพลิกเปลี่ยนไปจากเมื่อแรกเริ่ม มันไม่ชวนฝันเหมือนนิยายรักทั้งหลาย แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินกว่าจะรับ

จงอยู่กับความจริงอย่างที่มันเป็นจริงๆ เพราะบางทีจินตนาการต่างหาก ที่ทำร้ายเรามานักต่อนัก ด้วยความหลงผิดคิดว่า อะไรเป็นอะไร ทั้งที่มันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด

ไม่เฉพาะแต่ตัวละครในเรื่องนี้และโครงสร้างของเรื่องนี้เท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกตัวละคร และทุกเรื่องราวในสังคม

(หมายเหตุ : ในที่สุดผมก็อดที่จะทำความเข้าใจและหาความหมายจากหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ นี่อาจเป็นการทำงานด้วยปฏิกิริยา ‘พาไรโดเลีย’ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง บางทีสิ่งที่ ปราบดา หยุ่น เขียนอาจเป็นแค่เรื่องเรื่องหนึ่ง โดยไม่ได้ตั้งใจให้ความหมายแบบที่ผมเขียนมานี้เลยก็ได้)

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com  ( http://bit.ly/Is9BqL )


การ์ตูนรำลึกอาจารย์ปยุต เงากระจ่าง | อาร์ตแกลอรี่ | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก เป็นตัวแทนรวบรวมผลงานการ์ตูน จากนักการ์ตูนที่เคารพรัก และชื่นชมผลงานอาจารย์ปยุต ร่วมวาดการ์ตูนเพื่อไว้อาลัยการจากไป ของอาจารย์ และได้มอบภาพเขียนเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ครอบครัวของอาจารย์ต่อไปค่ะ

หากท่านใดที่ประสงค์จะวาดรูปและนำมาลง ณ gallery รวมภาพชุดนี้ สามารถ สมัครสมาชิก และส่งรูปมาให้แอดมินได้เลยค่ะ
ที่ cartoonthai_ffc [at] hotmail.com

ทางแอดมินจะได้ทำการ นำภาพของทุก ๆ ท่าน ที่ส่งมา ร่วมโชว์ในแกลอรี่นี้ด้วยกันค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ

     


ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

ปีใหม่ มาทักทาย
ขอใจกาย มีพลัง
รื่นรมย์ สุขสมหวัง

มั่งมีมิตรและไมตรี

………

พบพานแต่เรื่องดีงาม

สุขภาพกายและใจเข็มแข็งตลอดปี ๒๕๕๘ นะคะ
จากใจ ชาวสถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

แจ้งข่าว คนรักการ์ตูนโปเกม่อนนะคะ | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

จะมีการจัดงาน  Pokémon Together, Let’s Meet Pikachu เนรมิตสยามพารากอนให้เป็นดินแดนโปเกมอนเวิลด์แห่งเขตคาลอส ในงานก็จะมีตัว พิคาชู มาให้เด็กๆ ได้เจอด้วย และก็มีกิจกรรมแจกรางวัลต่างๆ น่าพาเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ที่เป็นแฟนโปเกม่อนไปเที่ยวกัน และชมภาพยนตร์แอนิเมชั่น ฟอร์มยักษ์ อันดับ 1 ตลอดกาล “Pokémon the Movie: Diancie and the Cocoon of Destruction” ตอนล่าสุดส่งตรงจากญี่ปุ่น ฟรี! สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ในช่วงวันเด็กระหว่าง 10 – 11 มกราคม 2558 ณ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ 15 โรงทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล http://pokemon.truelife.com/ 

มีหนังสือมาแจกค่า | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

พอดีเดือนสิงหา มีหนังสือที่เราอยากแบ่งปัน
สามารถกดไลค์ เพจ อ่านสร้างภาพ แล้วทำตามกติตา หนังสือแต่ละเล่มที่แจกได้เลยนะคะ

https://www.facebook.com/actandread

เลือกกดดูที่อัลบั้ม a book to share

ส่งข้อความหนังสือที่อยากได้
เดี๋ยวส่งให้คนที่อยากได้ค่า

PUEY Talks 12×12 | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

 

PUEY Talks 12x12

( 12 บุคคล….12 บทเรียนเรื่องราวแรงบันดาลใจที่ได้รับจากปูชนียบุคคล )

โครงการเตรียมงานรำลึก 100 ปี ชาตกาล ศ. ดร. ป๋วย  อึ๊งภากรณ์ ( 2549 -2559 )

ณ ห้องอเนกประสงค์  ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ ( แยกปทุมวัน )

 

12:00 – 13.00 น.     ลงทะเบียนหน้าห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1

13:00 – 14.30 น.     PUEY Talks  ช่วงที่ 1 ( กำหนดพูดท่านละ 12 นาที )  

·         ครูดุษฏี พนมยงค์   – สวนพลูคอรัส  ( เพลง คนดีมีค่า และ เพลงคนทำทาง )

·         อาจารย์เทพศิริ  สุขโสภา – ศิลปินนักวาด  นักเขียน

·         ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล  – ประธานกรรมการสถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์

·         พระศากยวงค์วิสุทธิ์  –  พระอาจารย์นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์

·         นายกษิดิศ  อนันนทนาธร – นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มธ.

·         นายสุทธิชัย เอี่ยมเจริญยิ่ง –  นักธุรกิจ

·         อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ –  นักเดินเท้าเพี่อความรักและศานติ

14:45 – 16:00 น.     PUEY Talks  ช่วงที่  2  ( กำหนดพูดท่านละ 12  นาที )

·         ครูดุษฏี พนมยงค์  –  สวนพลูคอรัส  ( เพลง Imagine   และเพลงลมหายใจแห่งสันติ )

·         ปิยศิลป์ บุลสถาพร –  ผู้กำกับละครเวที “ เพื่อชาติ   เพื่อ humanity “

·         ดร. วีระ  สมบูรณ์  –  นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

·         นส. สฤณี  อาชวานันทกุล – นักวิชาการอิสระด้านการเงิน

·         นายวันฟ้าใหม่  เทพจันทร์ –  กวีหนุ่ม

·         อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ –  เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร

·         อาจารย์สุลักษณ์  ศิวรักษ์ –  ปัญญาชนสยาม

(ดำเนินรายการโดย  อาจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง  –  นักวิชาการสายปรัชญา  ฉายา เชฟหมี )

16:15 – 17:00 น.  ละครเวที  “ รอยย่ำ….. ที่นำเราไป” โดยคณะมะขามป้อม เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจสู่คนรุ่นใหม่ของบุคคลในอุดมคติ 3 ท่าน

ได้แก่ ครูโกมล คีมทอง   ศ. ศิลป์ พีระศรี  และคุณสืบ นาคะเสถียร  โดยนำบางฉากในชีวิตของทั้งสามท่านมาตีความผ่านมุมมองคนรุ่นใหม่

……………………………………………………………………………………………………………..

17:00 – 20:00 น.           งานเปิดตัวหนังสือ ไตรทัศน์วิจารณ์ว่าด้วยพุทธศาสนา สถาบันกษัตริย์

และประชาธิปไตย ของ ส.ศิวรักษ์  เขียนโดย สุรพจน์ ทวีศักดิ์ 

สามัคคีวิจารณ์โดย ศ. ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล พิภพ อุดมอิทธิพงศ์

                                      ดำเนินรายการโดย  ถนอมสิงห์ โกศลนาวิน   (เนื่องในวาระ ๘๑ ปี ปัญญาชนสยาม )

จัดโดย มูลนิธิเสถียรโกเศศ-นาคะประทีป

(เข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย – จำนวน ๒๐๐ ที่นั่ง   ติดต่อคุณพัชรศิริ 086-7636644  )

ภาพวาดวาดโดยจักรกฤษ สุวรรณรัตน์ | ชมรมคนรักการ์ตูน | สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก


สถาบันการ์ตูนไทย มูลนิธิเด็ก

๔๖๐ ซ.จรัญสนิทวงศ์ ๖๗ บางพลัด กทม. ๑๐๗๐๐
โทรศัพท์ (Tel) (66) 02-881-1734
โทรสาร (Fax) (66) 02-424-6404, 02-424-6280